WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

95

ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัว เล็งแรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ที่ยัง Underperform ตลาดฯ, ติดตามประกาศงบฯแบงก์

     นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,705-1,719 จุด โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ติดแนวต้าน All time high อาจจะเจอแรงขายทำกำไรออกมาได้ แต่ก็อาจะได้รับแรงผลักดันจากหุ้นขนาดใหญ่ที่ยัง Underperform ตลาดฯ อย่างหุ้น SCC, หุ้นในกลุ่มแบงก์บางตัว รวมถึงหุ้นที่ยัง Laggard อยู่อาจเริ่มถูกผลักดัน

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกราว 0.2-0.8% ภายหลังจากภาพรวมยังเป็นบวกอยู่ โดยมองเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น และการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯออกมา 2-3 บริษัทต่างก็ออกมาดีกว่าคาด

      พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/60 ของกลุ่มแบงก์ในสัปดาห์นี้ ที่จะเริ่มมีงบฯของแบงก์ขนาดใหญ่ประกาศออกมา และให้ติดตามสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ต.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,871.72 จุด เพิ่มขึ้น 30.71 จุด (+0.13%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,605.80 จุด เพิ่มขึ้น 14.29 จุด (+0.22%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,553.17 จุด ขยับขึ้น 2.24 จุด (+0.09%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 66.09 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.69 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 185.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 11.05 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 9.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.13 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.80 จุด

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ต.ค.60) 1,712.48 จุด ลดลง 1.66 จุด (-0.10%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 506.34 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.60

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ต.ค.60) ปิดที่ระดับ 51.45 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1.7%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ต.ค.60) ที่ 7.16 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 33.05 แข็งค่าหลังมีแรงขายดอลล์ต่อเนื่อง มองกรอบวันนี้ 33.00-33.10

- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจมหภาค ขณะนี้ดีที่สุดแล้วเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา เหลืออยู่อย่างเดียวคือต้องเร่งดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไข

- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีชี้รายได้เกษตรกรปีหน้านิ่ง กำลังซื้อเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่กลับ เหตุราคาสินค้าเกษตรสำคัญทรงตัว หวังรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

- อธิบดีกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ เผยขณะนี้กรมฯได้เตรียมความพร้อมการดูแลและตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าช่วงเทศกาลกินเจซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20-28 ต.ค.60 โดยเฉพาะมาตรการดูแลราคาสินค้า ผักผลไม้ และวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้สำหรับทำอาหารเจเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาจำหน่ายวัตถุดิบหรือปรับราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จประเภทเจจนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเบื้องต้นมั่นใจว่าปีนี้ ผักจะไม่มีปัญหาด้านราคาแน่นอน

- ผู้อำนวยการสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันเครือข่าย กระทรวงอุตสาหกรรม เผยสถานการณ์การผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (เดือน มกราคม-กรกฎาคม 2560) พบว่ามีค่าดัชนีผลผลิตเป็น 115.11 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.86%

*หุ้นเด่นวันนี้

- BCP (ไอร่า) เป้า 46 บาท คาดผลการดำเนินงานปี 60 มีกำไรสุทธิ 5,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% yoy หลักๆ จากผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่น ที่ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นโดดเด่น และคาดจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันในช่วง 3Q/60 ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่กำไรจากธุรกิจไฟฟ้าของ BCPG มีความสม่ำเสมอและการเติบโต นอกจากนี้ยังมีโอกาสเติบโตจากการเข้าสู่ธุรกิจเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และเหมืองลิเทียมที่อาร์เจนติน่า และราคาหุ้นของ BCP ยัง laggard หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นอื่น ๆ แม้แต่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น BCPG ซึ่ง BCP ถือหุ้นอยู่ 70.28% ก็ยังไม่สะท้อนในราคาหุ้นของ BCP โดยราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 10.2 เท่า ขณะที่คาดเงินปันผลปี 60 ที่ 2.10 บาทต่อปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.3%

- SCC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อลงทุน"เป้า 610 บาท แนวโน้มกำไรปกติ 3Q60 ไม่น่าตื่นเต้น -2% Q-Q, +2% Y-Y แต่ถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ธุรกิจเคมีภัณฑ์น่าจะดีขึ้นเพราะไม่มีขาดทุนสต็อกเหมือนไตรมาสก่อน แต่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างชะลอเพราะเป็น Low season แต่พื้นฐานระยะยาวยังแกร่ง กำไรทั้งปีนี้น่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่สูงเป็นประวัติการณ์ 5.6 หมื่นล้านบาทและยังสามารถรักษาระดับนี้ได้ในปีหน้า PE ปัจจุบันต่ำเพียง 11 เท่า ราคาหุ้น laggard สุดในบรรดาหุ้น big cap.

- EPG (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 12.60 บาท ปี 60/61-61/62 คาดกำไรปกติโตเฉลี่ยปีละ 10.1% หนุนด้วยแผนเพิ่มกำลังการผลิตของฉนวนยางและอะไหล่ยานยนต์เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้นบวกกับคาด TJM มีผลดำเนินงานดีขึ้นหลังพ้นช่วงปรับโครงสร้างและเริ่มกลับมาขยายสาขาในออสเตรเลียรวมทั้งคาดเห็นการฟื้นตัวของยอดขายบรรจุภัณฑ์จากบรรยากาศจับจ่ายในประเทศดีขึ้นหลังผ่านพ้นช่วงไว้อาลัย Upside 6.8% และคาดให้ Div. Yield ปีละ 2.7%

- BBL (กรุงศรี) แนะเก็งกำไรระยะสั้น มี Upside จากข่าวประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับ AIA เป็นระยะเวลา 15 ปี คาดว่า BBL น่าจะได้รับค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้ช่องทางเข้าถึงลูกค้าของธนาคารทั่วประเทศคล้ายกับกรณีของ TMB ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการณ์

ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางตลาดวอลล์สตรีท

            ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ขานรับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ หลังจากที่นักลงทุนได้ซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,221.27 จุด เพิ่มขึ้น 66.09 จุด, +0.31% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,393.21 จุด เพิ่มขึ้น 2.69 จุด, +0.08% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,661.98 จุด เพิ่มขึ้น 185.55 จุด, +0.65% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,735.14 จุด เพิ่มขึ้น 11.05 จุด, +0.10% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,483.17 จุด เพิ่มขึ้น 9.55 จุด, +0.39% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,323.24 จุด เพิ่มขึ้น 4.13 จุด, +0.12% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,759.12 จุด เพิ่มขึ้น 3.80 จุด, +0.22%

                กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทะยานขึ้น 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.

                ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย.

                ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 101.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยสูงกว่าระดับ 95.3 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 20.80 จุด หลังเงินปอนด์แข็งค่า

            ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากเงินปอนด์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ หลังมีรายงานว่าสหภาพยุโรป (EU) อาจเสนอข้อตกลง 2 ปีสำหรับกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) โดยเจ้าหน้าที่ของ EU จะประชุมร่วมกันในวันที่ 19-20 ต.ค. เพื่อกำหนดทิศทางการหารือในประเด็น Brexit ต่อไป

                ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลดลง 20.80 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 7,535.44 จุด

                การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติ โดยหุ้นยูนิลีเวอร์ แกล็กโซสมิทไคล์น และเบอร์เบอรี่ ต่างลดลง 0.2%

                หุ้นจีเคเอ็น บริษัทวิศวกรรมชั้นนำของอังกฤษ ร่วงลงเกือบ 10% หลังบริษัทเผยว่ากำไรไตรมาส 3 ลดลงเมื่อเทียบรายปี

                อย่างไรก็ดี หุ้นเกล็นคอร์ เพิ่มขึ้น 2.4% หุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 3% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน บวก 1.6% หลังจากที่จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าเหล็กและสินแร่รายใหญ่ของโลก เปิดเผยยอดนำเข้าที่ยังคงแข็งแกร่ง

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนี

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) โดยการนำของตลาดหุ้นเยอรมนี หลังจากที่ไบเออร์ บริษัทผลิตยารายใหญ่ของเยอรมนี เดินหน้าเข้าซื้อกิจการของมอนซานโต้ บริษัทสินค้าเกษตรรายใหญ่ของสหรัฐ

                ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.3% ปิดที่ 391.55 จุด

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี เพิ่มขึ้น 8.98 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 12,991.87 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ลดลง 9.07 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 5,351.74 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ลดลง 20.80 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 7,535.44 จุด

                หุ้นไบเออร์ เพิ่มขึ้น 1.2% หลังบริษัทขายสินทรัพย์บางส่วนเพื่อนำเงินไปใช้ในการซื้อกิจการของมอนซานโต้ โดย BASF ตกลงซื้อธุรกิจยากำจัดวัชพืชของไบเออร์เกือบทั้งหมด ด้วยเงินสด 5.9 พันล้านยูโร

                หุ้นโพรวิเดนท์ ไฟแนนเชียล บริษัทผู้ปล่อยกู้แก่ลูกหนี้กลุ่มที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ พุ่งขึ้น 12.5% หลังบริษัทประกาศแผนฟื้นฟูธุรกิจสินเชื่อบ้าน

                หุ้นอาร์เซลอร์ มิตตัล ทะยาน 7.4% หุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 3% หุ้นเกล็นคอร์ บวก 2.4% หลังจากที่จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าเหล็กและสินแร่รายใหญ่ของโลก เปิดเผยมูลค่าการค้าต่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง

                สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า มูลค่าการค้าต่างประเทศปรับตัวขึ้น 16.6% สู่ระดับ 20.29 ล้านล้านหยวน (3.08 ล้านล้านดอลลาร์) ในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้

                ยอดส่งออกปรับตัวขึ้น 12.4% สู่ระดับ 11.16 ล้านล้านหยวน ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 22.3% สู่ระดับ 9.13 ล้านล้านหยวน ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าลดลง 17.7% สู่ระดับ 2.03 ล้านล้านหยวนในช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 30.71 จุด นลท.ซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจ

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังนักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 30.71 จุด หรือ 0.13% ปิดที่ 22,871.72 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 2.24 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 2,553.17 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 14.29 จุด หรือ 0.22% ปิดทำนิวไฮที่ 6,605.80 จุด

                สำหรับ ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.4% ดัชนี S&P 500 บวก 0.2% ดัชนี Nasdaq บวก 0.2%

                หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 2.8%

                แบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่เวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่มีรายได้ต่ำกว่าคาด โดยมีรายได้ 2.193 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.04 ดอลลาร์/หุ้น

                สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทะยานขึ้น 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.

                ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 13.1% ของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐ จนทำให้โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากต้องปิดการดำเนินงานชั่วคราว

                ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย.

                ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นในเดือนก.ย. ได้รับผลบวกจากการฟื้นฟูบูรณะเขตประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มา ซึ่งทำให้มีความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้างและรถยนต์ นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากรายได้ของสถานีบริการน้ำมันที่พุ่งขึ้น หลังราคาน้ำมันดีดตัวอันเนื่องมาจากภาวะขาดแคลนพลังงานหลังพายุเฮอร์ริเคนถล่ม

                ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 101.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยสูงกว่าระดับ 95.3 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

                นายริชาร์ด เคอร์ติน หัวหน้านักวิเคราะห์สำหรับการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค กล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีแนวโน้มขยายตัวไปจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งจะเป็นการขยายตัวยาวนานที่สุดนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1800

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!