WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

44ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟดมีโทนไปในทางผ่อนปรนมากขึ้น-ราคาน้ำมันยังขึ้น

    นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up เนื่องจากตลาดหุ้นต่างประเทศยังดีอยู่ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวขึ้นกัน ภายหลังจากที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในครั้งก่อน มีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนธันวาคมอยู่ แต่จะเห็นได้ว่าโทนไปในทางผ่อนปรนมากขึ้น เนื่องจากยังมีความกังวลเงินเฟ้อที่ยังต่ำอยู่ ทำให้เช้านี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และราคาน้ำมันก็ยังปรับตัวขึ้นด้วย

        ทั้งนี้ ปัจจัยในประเทศที่จะต้องติดตามเป็นเรื่องการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 3/60 ซึ่งก็เริ่มที่กลุ่มแบงก์ โดยทาง TISCO ประกาศออกมาแล้วเมื่อวานนี้ ส่วนนอกประเทศวันนี้ให้ติดตามดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ และให้ติดตามวาทะของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะให้ความเห็นนโยบายเศรษฐกิจการเงิน รวมถึงการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ให้ติดตามการส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ย

พร้อมให้แนรับ 1,710-1,705 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,725 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ต.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,872.89 จุด เพิ่มขึ้น 42.21 จุด (+0.18%),  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,603.55 จุด เพิ่มขึ้น 16.30 จุด (+0.25%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,555.24 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด (+0.18%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 76.91 จุดดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.75 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 41.48 จุดดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 27.20 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.54 จุดดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.62 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.11 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 8.62 จุด

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ต.ค.60) 1,714.14 จุด เพิ่มขึ้น 7.19 จุด (+0.42%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,613.52 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ต.ค.60

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ต.ค.60) ปิดที่ระดับ 51.30 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.8%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ต.ค.60) ที่ 7.33 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 33.15 แข็งค่าจากดอลล์อ่อนหลังรายงานประชุมเฟดห่วงตัวเลขเงินเฟ้อต่ำ

- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับขึ้นคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม เป็น 5.2% ในปี 2560 ในรายงานเดือน ต.ค. จากคาดการณ์เดิม 5% เมื่อเดือน เม.ย.

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนในเดือน ก.ย. 2560 พบว่าครัวเรือนมีความกังวลต่อการครองชีพทั้งในปัจจุบันและในอนาคตมากขึ้น สะท้อนจากดัชนี ภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือน (KR-ECI) และดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือน อีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงมา อยู่ที่ระดับ 45.5 และ 45.3 ตามลำดับ (จากเดิมที่ระดับ 45.7 และระดับ 46.2 ในเดือน ส.ค.)

- นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย เผยหากประเทศไทยมีการประกาศวันเลือกตั้งในเดือน มิ.ย. 2561 และให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน พ.ย. 2561 ตามที่ประกาศเชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโฆษณาอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคมีเงินที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆ สามารถขายสินค้าได้มากขึ้น และเมื่อขายสินค้าได้ผู้ประกอบการก็จะมีเงินนำมาใช้จ่ายซื้อสื่อโฆษณา

- รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่า การแก้ปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึงต้องผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค มาตรการที่ตรงจุดและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป ซึ่งการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ประเมินไว้ รวมทั้งนโยบายการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน แต่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงอาจกระตุ้นให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และกระทบกำลังซื้อของผู้สูงอายุที่พึ่งพาเงินออมและรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก

*หุ้นเด่นวันนี้

- ROBINS (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 77 บาท SSSG เดือน ก.ย.มีแนวโน้มแข็งแกร่ง +4% y-y เป็นบวกครั้งแรกตั้งแต่ 4Q59 จากรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น และฤดู clearance sale จบลง คาดการณ์กำไร 2H60F จะขยายตัว +15% ขณะที่คาดการณ์กำไรเติบโตเฉลี่ย 17% ต่อปีช่วง 2561-2562 มอง PE61 23.5x "ไม่แพง"

- BEM (ทรีนีตี้) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 8 บาท คาดรายได้รวมใน 3Q60 จะอยู่ที่ 3,873 ล้านบาท (+5%QoQ,+13%YoY) และจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 807 ล้านบาท (+8%QoQ, Flat YoY) โดยเติบโตขึ้นจากทั้งธุรกิจทางด่วนและธุรกิจรถไฟฟ้า นอกจกานี้ปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยบนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินคาดว่าจะยืนเหนือระดับ 3 แสนเที่ยว/วันได้ในปี 61 และจะเติบโตเป็นราว 5 แสนเที่ยว/วัน ในช่วงปี 62-63  พร้อมลุ้นการเจรจาเพื่อต่ออายุสัมปทานการบริหารจัดการทางด่วนคืบหน้า โดย upside จากการต่ออายุสัมปทานยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ

- PTTGC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 105 บาท คาดผลการดำเนินงาน 3Q/60 จะฟื้นตัวโดดเด่น ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก ทั้งจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นโดดเด่นและกำไรจากสต็อกน้ำมัน ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะฟื้นตัวขึ้น จากการใช้อัตรากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจ ปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์คาดทรงตัว จากส่วนต่างที่ลดลง แต่มีการใช้กำลังผลิตสูงขึ้น พร้อมคาดผลการดำเนินงานในปี 61 จะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีที่เป็นเดิมของ PTT

- TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อลงทุน"เป้า 89 บาท กำไร 3Q60 เป็นไปตามคาดที่ 1.57 พันลบ. +4.4% Q-Q, +25.8% Y-Y โดยมีรายได้ค่าธรรมเนียมและ Spread ที่ดีกว่าคาด แม้ว่าเราเห็นสินเชื่อหดตัวลง 0.5% Q-Q แต่เป็นการลดลงจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งชะลอตัวตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ แต่สินเชื่อประเภทอื่นทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคยังเติบโตได้ดี ขณะที่คุณภาพหนี้แข็งแรงมาก NPL Ratio เหลือเพียง 2.34% และ Coverage ratio แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคารที่ 186% แนวโน้มกำไร 4Q60 คาดว่าจะทรงตัว Q-Q แม้จะรับรู้รายได้ต่างๆจาก SCBT แต่จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการโอนพอร์ตสินเชื่อ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ หลังเฟดเผยรายงานการประชุม

            ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ ขานรับรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่หลายคนมองว่าเฟดควรประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ช่วยลดกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,958.18 จุด เพิ่มขึ้น 76.91 จุด, +0.37% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,385.53 จุด ลดลง 2.75 จุด, -0.08% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,431.05 จุด เพิ่มขึ้น 41.48 จุด, +0.15% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,668.39 จุด เพิ่มขึ้น 27.20 จุด, +0.26% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,461.70 จุด เพิ่มขึ้น 3.54 จุด, +0.14% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,292.90 จุด เพิ่มขึ้น 12.62 จุด, +0.38% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,760.32 จุด เพิ่มขึ้น 3.11 จุด, +0.18% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,367.09 จุด เพิ่มขึ้น 8.62 จุด, +0.10%

                ทั้งนี้ เฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 19-20 ก.ย.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่เฟดจำนวนหนึ่งยังคงมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หากแนวโน้มเศรษฐกิจระยะกลางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดบางคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น

                อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เฟดอีกจำนวนหนึ่งกล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ควรพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเจ้าหน้าที่บางคนมองว่า เฟดยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ในระยะกลาง

                นอกจากนี้ รายงานการประชุมยังระบุว่า เจ้าหน้าที่หลายคนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด และแนะนำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 4.46 จุด จากความวิตกการเจรจา Brexit ไม่คืบหน้า

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) จากปัจจัยความวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในกระบวนการเจรจา Brexit ระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับสหภาพยุโรป

        ดัชนี FTSE 100 ลดลง 4.46 จุด หรือ -0.06% ปิดที่ 7,533.81 จุด

        ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกระบวนการเจรจาเพื่อแยกตัวจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่า ท้ายที่สุดแล้ว นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษจะได้รับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีอย่างเต็มที่ในการผลักดันแผนการ Brexit ของเธอต่อไป

       สำหรับ ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการเจรจา Brexit นั้น นายกฯเมย์กล่าวว่า เวลานี้หน้าที่ได้ตกเป็นของฝ่ายสหภาพยุโรปในการผลักดันให้การเจรจาเดินหน้าต่อไป โดยเธอกล่าวเตือนด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังเตรียมแผนรับมือ หากการเจรจา Brexit เกิดความล้มเหลวโดยที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆได้

      ทั้งนี้ การเจรจารอบที่ 5 ระหว่างคณะผู้แทนของสหราชอาณาจักรและ EU ที่กรุงบรัสเซลส์ ได้ประสบกับภาวะชะงักงันเมื่อวานนี้ โดยหลังจากนี้ EU เตรียมที่จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรประหว่างวันที่ 19-20 ต.ค.นี้ เพื่อตัดสินใจว่า การเจรจา Brexit ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าเพียงพอที่จะเดินหน้าจัดการเจรจาในขั้นต่อไปหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการหารือเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าระดับทวิภาคีระหว่างอังกฤษกับ EU

       หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นสมิธแอนด์เนฟฟิว พุ่งขึ้น 3.1% หลังมีรายงานว่า เอลเลียต แมเนจเมนท์ คอร์ป ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้เข้าถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าว

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดขยับขึ้น นักลงทุนคลายกังวลการเมืองสเปน

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสเปน หลังจากนายคาร์เลส ปุกเดมองต์ ผู้นำแคว้นกาตาลุญญา ไม่มีความชัดเจนในการประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน ขณะที่นายมาริอาโน ราฮอย นายกรัฐมนตรีสเปน ได้ปฏิเสธข้อเสนอของนายปุกเดมองต์ ที่ต้องการเจรจากับรัฐบาลสเปนเกี่ยวกับการประกาศเอกราชของแคว้นกาตาลุญญา

                ดัชนี European Stoxx Europe 600 ปิดที่ระดับ 390.15 จุด โดยขยับขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดของวันอังคารที่  390.16 จุด

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,970.68 จุด เพิ่มขึ้น 21.43 จุด หรือ +0.17% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,362.41 จุด ลดลง 1.24 จุด หรือ -0.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,533.81 จุด ลดลง 4.46 จุด หรือ -0.06%

                ส่วนดัชนี IBEX 35 ตลาดหุ้นสเปนพุ่งขึ้น 1.3% ปิดที่ระดับ 10,278.40 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.ปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในสเปน เนื่องจากผู้นำแคว้นกาตาลุญญาไม่มีความชัดเจนในการประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน

                รัฐบาลสเปนได้ให้เวลาเพียง 5 วันแก่นายคาร์เลส ปุกเดมองต์ ผู้นำแคว้นกาตาลุญญา ในการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เขาได้ประกาศเอกราชจากสเปนหรือไม่ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า การที่รัฐบาลสเปนยื่นคำขาดเช่นนั้น จะทำให้นายปุกเดมองต์เผชิญแรงกดดัน ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจใช้ทางเลือกใดก็ตาม

                ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า รัฐบาลสเปนจะไม่ปล่อยให้แคว้นกาตาลุญญาแยกตัวออกไป เนื่องจากจะทำให้มูลค่าจีดีพีของสเปนหายไปถึง 1 ใน 5 ขณะที่การส่งออกจะหดตัวลงมากกว่า 1 ใน 4

                หุ้นสมิธแอนด์เนฟฟิว ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ พุ่งขึ้น 3.1% หลังมีรายงานว่า เอลเลียต แมเนจเมนท์ คอร์ป ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ได้เข้าถือหุ้นของบริษัทสมิธแอนด์เนฟฟิว

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 42.21 จุด หลังเฟดเผยรายงานการประชุม

       ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดทำนิวไฮ หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่หลายคนมองว่าเฟดควรประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ช่วยลดกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และซิตี้กรุ๊ป

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,872.89 จุด เพิ่มขึ้น 42.21 จุด หรือ +0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,555.24 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด หรือ +0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,603.55 จุด เพิ่มขึ้น 16.30 จุด หรือ +0.25%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮอีกครั้งเมื่อคืนนี้ หลังจากเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 19-20 ก.ย.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่เฟดจำนวนหนึ่งยังคงมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หากแนวโน้มเศรษฐกิจระยะกลางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดบางคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น

                อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เฟดอีกจำนวนหนึ่งกล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ควรพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเจ้าหน้าที่บางคนมองว่า เฟดยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ในระยะกลาง

                นอกจากนี้ รายงานการประชุมยังระบุว่า เจ้าหน้าที่หลายคนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด และแนะนำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

                หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรับตัวขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 5.92 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.56 ดอลลาร์ ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทพุ่งขึ้น 17% ใกล้ระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์

                หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ซึ่งเป็นสายการบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากเดลต้า แอร์ไลน์ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.57 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.53 ดอลลาร์ และรายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 1.106 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.103 หมื่นล้านดอลลาร์

                หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงส์ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทประกาศแผนอัดฉีดเงินทุนเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า เพื่อพัฒนาโครงการวิจัยอันทันสมัย โดยมีเป้าหมายที่จะแข่งขันกับบริษัทอเมซอนดอทคอม และอัลฟาเบท

                ส่วนหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นและมีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกนั้น หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และหุ้นแมคโดนัลด์ ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1%

                นักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลส์ ฟาโก

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย., ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

      อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!