WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET17 copyภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้นทดสอบ 1,700 จุดอีกครั้ง เล็งแรงหนุนจาก ICAO ปลดธงแดง-คาดหวังมาตรการช็อปช่วยชาติ

      นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ โดยมองปัจจัยหนุนจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ประกาศปลดธงแดงประเทศไทย และยังมีความคาดหวังจากมาตรการช็อปช่วยชาติ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพิจารณาได้เมื่อใด

       นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน ยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นดัชนีฯมีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,700 จุด ได้อีกครั้ง ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,690 จุด

     ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่จะอิงในทางบวกเป็นส่วนใหญ่ สำหรับปัจจัยนอกประเทศก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เพราะขณะนี้คงตีความกันไปแล้วว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ส่วนอื่นก็เป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ต.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,773.67 จุด ลดลง 1.72 จุด (-0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,590.18 จุด เพิ่มขึ้น 4.82 จุด (+0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,549.33 จุด ลดลง 2.74 จุด (-0.11%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 54.31 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 17.87 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.20 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.35 จุด ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 22.82 จุด,

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเพื่อสุขภาพและการกีฬา, ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันภาษาเกาหลี

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ต.ค.60) 1,695.97 จุด เพิ่มขึ้น 5.10 จุด (+0.30%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 571.94 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ต.ค.60

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ต.ค.60) ปิดที่ระดับ 49.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.50 ดอลลาร์ หรือ 0.3%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ต.ค.60) ที่ 7.53 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 33.46 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ ไร้ปัจจัยใหม่ มองกรอบวันนี้ 33.38-33.48

- แหล่งข่าวจากบริษัทเอกชน เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 ต.ค.นี้ รัฐบาลได้เรียกภาคเอกชนเข้าหารือ เพื่อสอบถามมาตรการที่จะให้ภาครัฐช่วยในช่วงสุดท้ายของปีแต่ละภาคธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจค้าปลีก เพื่อที่รัฐบาลจะได้ตัดสินใจหาแนวทางเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจในปลายปี

- อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยเป้าหมายการเก็บภาษีของกรมฯ ปีงบประมาณ 2561 อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท คาดว่าจะเก็บได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการเก็บภาษี ของกรมฯ ปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมา ทำได้เกินเป้าหมายถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ประกอบกับกรมฯ สั่งเร่งเก็บภาษีตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และใช้ระบบตรวจสอบการเก็บภาษีแบบเรียลไทม์

- รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในการเดินทางเยือนสหรัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รัฐบาลไทยไม่ได้แถลงข่าวถึงการหารือเรื่องที่สหรัฐเรียกร้องให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในที่มีสารเร่งเนื้อแดง (แรคโตพามีน) โดยระบุแต่เพียงว่ากรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศจะหารือกันในรายละเอียดอีกครั้งนั้น แต่มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะยอมตามที่สหรัฐเรียกร้อง และอาจอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมู และเครื่องในที่มีสารเร่ง เนื้อแดงแรคโตพามีนจากสหรัฐได้

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยภาพรวมสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปี 2561 จะเติบโตได้มากกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 4% มาจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ตามการลงทุนภาคเอกชนปีหน้า

- รฟท.เตรียมชง คนร.11 ต.ค.นี้ ขอเดินรถไฟสายสีแดง บางซื่อ-รังสิตเอง อ้างสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารได้ต่ำเพียง 32 บาท สามาราถช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน คาด ธ.ค.นี้ ชง ครม.ตั้งบริษัทเดินรถภายในได้

- เมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 61 ตามกรอบวงเงินงบประมาณรวม 2.9 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบขาดดุล 450,000 ล้านบาท ตั้งเป้าการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมให้ได้ไม่ต่ำกว่า 2.78 ล้านล้านบาท หรือ 96% ของงบประมาณและรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่า 580,000 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณลงทุน 660,000 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของงบประมาณเพื่อการลงทุนซึ่งการจัดทำงบประมาณนี้อยู่ภายใต้การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.3-4.3% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วง 1.5-2.5% ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8.4% ของจีดีพี

- นายจุฬา สุขมานพผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) บนหน้าเว็บไซต์องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)  HYPERLINK

                "http://www.icao.int" \t "_blank" www.icao.int ได้มีการปลดสัญลักษณ์ธงแดงออกจากชื่อประเทศไทยแล้ว

*หุ้นเด่นวันนี้

- DELTA (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 105 บาท Turnaround play ด้วยกำไรจากธุรกิจ EV เข้าสู่ breakeven ปีนี้ และด้วยการกลับมาเติบโตของตลาดโทรคมนาคมในอินเดีย จึงคาดกำไรกลับมาเติบโต 17-20% ปี 2561-2562

- KBANK (ทรีนีตี้) "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" เป้า 224 บาท คาดกำไร 3Q60 ที่ 9,107 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ยังเป็นปัจจัยกดดัน ทั้งนี้มีการปรับประมาณการกำไรปี 60 ลงเล็กน้อย เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงก่อนหน้าทำให้ Upside ค่อนข้างจำกัด

- TK (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ยังแข็งแกร่ง และบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตขึ้นเป็นรอบที่ 3 โมเมนตัมการเติบโตไตรมาส 4 คาดดีขึ้นจากผลผลิตข้าวที่ออกสู่ระบบ ขณะที่ระยะยาวเป็นบวกมากขึ้นจากการขยายไปประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว และกัมพูชา

- PTTGC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 88.00 บาท คาดกำไรไตรมาส 3 จะเติบโต 62.9%YoY , 53.6%QoQ ที่ 10,141 ล้านบาท หนุนจากธุรกิจโรงกลั่นด้วยกำลังการผลิต 100% (ค่าการกลั่น +30%QoQ) และโอเลฟินส์ จากกำลังการผลิตแครกเกอร์และ HDPE เพิ่มเป็น 95% และ 100% ตามลำดับ  และคาดดีต่อเนื่องถึงไตรมาส 4  พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-2561 ขึ้น 20.5% และ 16.7% ตามลำดับ จากการรวมส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Asset Injection 6 บริษัทจาก PTT และปรับสมมติฐานค่าการกลั่นขึ้น

- AAV (เคจีไอฯ) แนะนำ"Outperform" ให้ราคาเป้าหมาย 7.48 บาท โดยมีคาดว่าการแข่งขันด้านราคาของสายการบินต่าง ๆ จะยังคงเข้มข้นต่อเนื่องใน 2H60 ไม่ต่างจากใน 1H60 แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดการท่องเที่ยวของไทยเป็นลบน้อยลง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวขึ้น และยังมีฐานนักท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งจากยุโรปและตะวันออกกลาง นอกจากนี้การที่ICAO ก็เพิ่งจะถอนธงแดงประเทศไทย AAV จึงจะเป็นหนึ่งในสายการบินที่ได้อานิสงส์จากการถอนธงแดง เพราะการขยายเส้นทางบินไปยังญี่ปุ่นและเกาลีผ่าน AirAsia X ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้กลายมาเป็นข้อจำกัดในการเติบโตของ AAV ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา คิดว่าประเด็นนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถกระจายฐานรายได้ไปยังเส้นทางบินอื่น ๆ มากขึ้น จากปัจจุบันที่รายได้ประมาณ 30% มาจากนักท่องเที่ยวจีน

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ นักลงทุนจับตาดัชนี PMI ภาคบริการจีน

                ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนในวันนี้ คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย.จากไฉซิน

                ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,403.25 จุด เพิ่มขึ้น 54.31 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,440.17 จุด ลดลง 17.87 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,296.49 จุด เพิ่มขึ้น 5.20 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,763.65 จุด ลดลง 0.35 จุด ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,333.70 จุด เพิ่มขึ้น 22.82 จุด, +0.27%

                ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันเพื่อสุขภาพและการกีฬา ตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้เนื่องในวันชาติ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันภาษาเกาหลี

                นักลงทุนจับตาดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย.ของจีน ซึ่งมาร์กิตและไฉซินจะเปิดเผยในช่วงเช้าวันนี้ นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผยดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.ย.เช่นกัน โดยนักลงทุนต้องการจับสัญญาณแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

                ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเดือนส.ค.ของจีนซึ่งมาร์กิตและไฉซินรายงานเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสามเดือนที่ 52.7 จากระดับ 51.5 ในเดือนก.ค. สำหรับดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการในเดือนส.ค.นั้น เพิ่มขึ้นแตะระดับ 52.4 จากระดับ 51.9 ในเดือนก.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 14.88 จุด หลังเงินปอนด์ร่วงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง

            ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและแตะระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับอนาคตของนางเทเรซ่า เมย์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด

                ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 14.88  จุด หรือ +0.20% ปิดที่ 7,522.87 จุด ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีพุ่งขึ้น 2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ฟุตซี่ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 7 ในรอบ 8 วันทำการ โดยได้รับอานิสงส์จากการที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นผลดีต่อรายได้และผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ โดย ณ เวลาหนึ่ง ค่าเงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับ 1.3035 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสี่สัปดาห์ จากระดับ 1.3118 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันพฤหัสบดี และร่วงลง 0.6% สู่ระดับ 1.1130 ยูโร จาก 1.1202 ยูโรในวันพฤหัสบดี

                นักวิเคราะห์ระบุว่า สาเหตุที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงนั้น เนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในพรรครัฐบาลที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองอังกฤษ จนทำให้เกิดกระแสคาดการณ์เรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ประกอบกับความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในกระบวนการ Brexit สืบเนื่องจากการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปไม่มีความคืบหน้ามากนัก

                คอนนอร์ แคมป์เบล นักวิเคราะห์จาก SpreadEx กล่าวว่า "การอ่อนค่าลงของสกุลเงินปอนด์ในวันนี้มีสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งภายในพรรคอนุรักษ์นิยมของรัฐบาล"

                ทั้งนี้ มีกระแสคาดการณ์ว่าอาจจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษ ขณะที่หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจว่านางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี จะสามารถควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งภายในได้หรือไม่ ในขณะเดียวกันการเจรจากับสหภาพยุโรปเรื่องการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าไรนัก

                อย่างไรก็ดี ในวันศุกร์ นางเทเรซ่า เมย์ ได้ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าเธออาจต้องลงจากเก้าอี้นายกฯ โดยยืนยันว่าเธอยังคงได้รับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี

                สำหรับ หุ้นรายตัวนั้น หุ้นเซนทริกา บริษัทสาธารณูปโภคข้ามชาติ ร่วง 1.69% หุ้นอีซี่เจ็ทร่วง 1.64% หลังทางสายการบินต้นทุนต่ำได้ออกมาเปิดเผยคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงินปัจจุบันที่สร้างแรงกดดันให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นมาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ร่วง 1.52%

                ด้านหุ้นบวกนำโดย เอ็นเอ็มซี เฮลธ์ บริษัทด้านการดูแลสุขภาพ พุ่ง 4.26% หุ้นเมดิคลินิก อินเตอร์เนชั่นแนล บวก 3.31% และหุ้นไดเรค ไลน์ อินชัวรันซ์ กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 2.42%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในสเปน

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในสเปนที่ยังคงไม่ยุติ นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายส่วนหนึ่งยังได้รับแรงกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐ

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 1.56 หรือ -0.40% แตะที่ 389.47 จุด ขณะที่ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.3%

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,955.94 จุด ลดลง 12.11 จุด หรือ -0.09% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,359.90 จุด ลดลง 19.31 จุด หรือ -0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 74,522.87 จุด เพิ่มขึ้น 14.88  จุด หรือ +0.20%

                สำหรับสถานการณ์ล่าสุดในสเปนนั้น นายราอูล โรเมวา ประธานฝ่ายกิจการต่างประเทศของแคว้นกาตาลุญญา กล่าวว่า รัฐสภาของกาตาลุญญาจะทำการเปิดสภาในวันจันทร์หน้าเพื่อทำการอภิปรายที่อาจนำไปสู่การประกาศเอกราชจากสเปน

                "รัฐสภาจะเปิดการประชุมเพื่อทำการหารือกัน และสิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ" นายโรเมวากล่าว พร้อมระบุว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้จะต้องแก้ไขด้วยการเจรจาทางการเมือง ไม่ใช่ผ่านทางกระบวนการของศาล ซึ่งคำกล่าวของนายโรเมวาถือเป็นท้าทายศาลรัฐธรรมนูญของสเปนที่มีคำสั่งห้ามรัฐสภาของแคว้นกาตาลุญญาทำการเปิดสภาในวันจันทร์ เพื่อขัดขวางไม่ให้แคว้นกาตาลุญญาเดินหน้ากระบวนการแยกตัวเป็นอิสระ

                ทั้งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นกาตาลุญญาได้จัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญสเปนประกาศว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ

                แคว้นกาตาลุญญามีประชาชนราว 7.5 ล้านคน และเป็นหนึ่งในแคว้นที่ร่ำรวยมากที่สุดในสเปน โดยชาวคาตาลันในแคว้นกาตาลุญญาได้เริ่มเคลื่อนไหวในการรณรงค์แยกตัวเป็นอิสระจากสเปน หลังจากที่เศรษฐกิจของสเปนเผชิญภาวะวิกฤตตั้งแต่ในปี 2543

                ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 33,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี จากระดับ 4.4% ในเดือนส.ค.

                ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนก.ย.ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย.2553 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจในรัฐเท็กซัส ฟลอริดา และอีกหลายรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐต้องปิดกิจการ ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากประสบภาวะตกงานชั่วคราว

                นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 90,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. และอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

                ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะ 1.1730 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1711 ดอลลาร์ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนวันพฤหัสบดี โดยก่อนหน้านี้เงินยูโรร่วงลง ภายหลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. แม้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ทรุดตัวลงในเดือนก.ย. แต่อัตราการว่างงาน และตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานยังคงบ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง

                โดยโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 80% จากเดิมที่ 75% หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ ซึ่งระบุถึงการดีดตัวขึ้นของตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงาน และการร่วงลงของอัตราการว่างงาน

                นักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปจับตาความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะมีผลต่อตลาดการเงินทั่วโลก

                ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ กระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีรายงานว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานประจำเดือนส.ค. ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 3.6% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.7% หลังจากที่หดตัวลง 0.4% ในเดือนก.ค.

                ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค.ได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น และสะท้อนให้เห็นว่า ภาคโรงงานมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเยอรมนีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

                ขณะที่สำนักงานศุลกากรฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ฝรั่งเศสมียอดขาดดุลการค้า 4.5 พันล้านยูโร (5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนส.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 5.9 พันล้านยูโรในเดือนก.ค. เนื่องจากยอดส่งออกอุปกรณ์การบิน เครื่องจักรอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น

                ทางด้านธนาคารกลางฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ฝรั่งเศสมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.5 พันล้านยูโรในเดือนส.ค. ลดลงจากระดับ 4.3 พันล้านยูโรในเดือนก.ค.

                ทั้งนี้ ดัชนีในตลาดหุ้นหลักๆ ของยุโรปต่างปิดแดนลบ ยกเว้นตลาดหุ้นอังกฤษที่ปรับตัวขึ้นสวนกระแส เพราะได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและแตะระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับอนาคตของนางเทเรซ่า เมย์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด

                หุ้นธนาคารสเปนร่วง นำโดยหุ้น Banco Sabadell ที่ร่วงลง 1.9% และ CaixaBank ลบ 0.6% หลังมีรายงานว่าแบงก์ใหญ่แคว้นกาตาลุญญาเตรียมย้ายสำนักงาน

                โดย Banco Sabadell ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับ 5 ของสเปน และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบาเซโลนา แคว้นกาตาลุญญา ประกาศแผนย้ายสำนักงานกฎหมายออกจากแคว้นกาตาลุญญา ท่ามกลางความเสี่ยงที่แคว้นกาตาลุญญาจะประกาศแยกตัวออกจากสเปนในวันจันทร์ที่จะถึงนี้

                Sabadell ระบุว่า ธนาคารจะเริ่มกระบวนการย้ายสำนักงานกฎหมายไปยังเมืองอาลีกันเตของสเปนในวันศุกร์ ขณะที่สำนักงานใหญ่จะยังคงอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาต่อไป ส่วนธนาคาร CaixaBank ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาตาลุญญาเช่นกัน ก็เตรียมประชุมกรรมการบริหารเพื่อตัดสินใจว่าจะย้ายสำนักงานไปยังหมู่เกาะแบลีแอริกของสเปนหรือไม่

                ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ของแคว้นกาตาลุญญากำลังได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง หลังจากแคว้นกาตาลุญญาได้จัดทำประชามติเพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากสเปน โดยธนาคารของแคว้นกาตาลุญญากำลังได้รับแรงกดดัน เนื่องจากเกิดกระแสวิตกกังวลว่าธนาคารเหล่านี้อาจต้องเสียฐานลูกค้าในสเปน หากแคว้นกาตาลุญญาประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากสเปนจริง

                หุ้นสายการบินปรับตัวลดลง โดยหุ้นไรอันแอร์ร่วง 2.9% หลังซีอีโอของสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติไอริชได้ออกมาให้คำมั่นว่าจะจ่ายเงินให้กับนักบินเพิ่ม หุ้นอีซี่เจ็ทร่วง 1.64% หลังทางสายการบินได้ออกมาเปิดเผยคาดการณ์ผลกำไร แต่ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงแรงกดดันต่างๆที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญอยู่

                หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวขึ้น โดยเดมเลอร์ เอจี บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน บวก 0.4% หลังยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มขึ้น หุ้นเรโนลต์ เอสเอ บวก 0.5% หลังบริษัทรถฝรั่งเศสเผยแผนการกระตุ้นยอดขายรถนอกยุโรป

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 1.72 จุด หลังสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานลดลง

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ (6 ต.ค.) หยุดสถิติปิดบวกติดต่อกัน 7 วันทำการที่ผ่านมา หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ทรุดตัวลงในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี อย่างไรก็ดี ดัชนีขยับลงไม่มาก เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ดิ่งลงดังกล่าวเป็นผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวของพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มา ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ยังคงบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,773.67 จุด ลดลง 1.72 จุด หรือ -0.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,549.33 จุด ลดลง 2.74 จุด หรือ -0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,590.18 จุด เพิ่มขึ้น 4.82 จุด หรือ +0.07%

                สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 1.7% S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.2% และ Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.5%

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กวันศุกร์นั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 8 วัน หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 33,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี จากระดับ 4.4% ในเดือนส.ค.

                ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนก.ย.ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย.2553 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจในรัฐเท็กซัส ฟลอริดา และอีกหลายรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐต้องปิดกิจการ ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากประสบภาวะตกงานชั่วคราว

                นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 90,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. และอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

                อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ รวมถึง S&P 500 ปรับตัวลดลงไม่มาก ขณะที่ Nasdaq พยุงตัวปิดแดนบวกได้ เนื่องจากนักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ทรุดตัวลงในเดือนก.ย.นั้นเป็นผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวของพายุเฮอร์ริเคนสองลูก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ยังคงบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง

                โดยในการเปิดเผยตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน หรือค่าแรงต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ พบว่าเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. หรือเพิ่มขึ้น 12 เซนต์ สู่ระดับ 26.55 ดอลลาร์ และเท่ากับพุ่งขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด สิ่งนี้หมายความว่าเฟดมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.

                โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 80% จากเดิมที่ 75% หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ ซึ่งระบุถึงการดีดตัวขึ้นของตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงาน และการร่วงลงของอัตราการว่างงาน แม้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ทรุดตัวลงในเดือนก.ย.

                ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์เช่นกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว หลังจากปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค.

                นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดรถยนต์ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพื้นฐาน ซึ่งใช้ในการคำนวณตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค.

                ขณะเดียวกัน ยอดขายในภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว หลังจากทรงตัวในเดือนก.ค.

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!