WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

41ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซิกแซกขึ้นเล็งแรงหนุน Fund Flow ระลอกใหม่หลัง Sentiment ตปท.บวกต่อเนื่อง

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซิกแซกขึ้นหลังดัชนีฯสามารถขึ้นเหนือแนว 1,680 จุดได้ แต่ให้ระวังจะผันผวนเพราะได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว แต่ทั้งนี้ตลาดฯได้ปัจจัยบวกจาก Fund Flow ที่ไหลเข้าระลอกใหม่ จาก Sentiment ต่างประเทศที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างก็อยู่ในแดนบวก หลังดัชนีภาคการผลิตของ ISM ของสหรัฐฯพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 13 ปี และยังมีความคาดหวังถึงแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯด้วย

      อย่างไรก็ดี ให้ติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 4 ต.ค.นี้ โดยให้ดูว่าจะยังคงสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่หรือไม่ เพราะหากยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะกระตุ้นให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และยังจะกระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไรได้

พร้อมให้แนวรับ 1,680-1,682 จุด ส่วนแนวต้าน 1,692-1,700 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 ต.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,557.60 จุด พุ่งขึ้น 152.51 จุด (+0.68%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,516.72 จุด เพิ่มขึ้น 20.76 จุด (+0.32%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,529.12 จุด เพิ่มขึ้น 9.76 จุด (+0.39%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 74.47 จุด, +0.37% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.73 จุด, +0.10% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 2.46 จุด, -0.02% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.39 จุด, +0.23% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.01 จุด, +0.06%

ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันสถาปนาประเทศ

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ต.ค.60) 1,688.64 จุด เพิ่มขึ้น 15.48 จุด (+0.93%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,869.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ต.ค.60

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 ต.ค.60) ปิดที่ระดับ 50.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 2.1%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ต.ค.60) ที่ 7.38 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 33.48 แนวโน้มอ่อนค่าตามภูมิภาคหลังดอลล์แข็ง

- สศช.ให้ข้อมูลผู้แทนไอเอ็มเอฟยันพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแกร่ง รองรับการเติบโตเศรษฐกิจระยะปานกลาง ชี้เติบโตเฉลี่ย 5 ปีขยายตัว 3.8-4.3% เงื่อนไขเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.6% ชี้หนี้ครัวเรือนลด หนุนเศรษฐกิจโต ขณะปี 61 มองการเติบโต ต่อเนื่องลงทุนโครงการรัฐ ด้าน รมว.พลังงาน คาด ปี 61 รสก.-เอกชน ลงทุนธุรกิจพลังงาน กระตุ้นเศรษฐกิจทะลุ 1 ล้านล้าน

- รัฐบาลเตรียมเปิดเจรจาจีนใหม่ขอทบทวนข้อตกลง "เอฟทีเอ" นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า หวั่นไทยเสียเปรียบจัดเก็บภาษี กระทบแผนดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าไทย ตั้ง "กอบศักดิ์" ประธานเจรจา ก่อนข้อตกลงมีผล 1 ม.ค.61 หลังมี สินค้าร่วมโครงการ 703 รายการ ด้านเอกชนหวั่นเปลี่ยนแปลงยาก ชี้จีนมีแต้มต่อ เหตุกำหนดรถไฟฟ้าไว้ใน "พิกัดอื่นๆ" ไม่มีเงื่อนไขปลีกย่อย เปิดทางส่งเข้าไทยได้ทันที

- ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือน ก.ย. 2560 เท่ากับ 101.22 สูงขึ้น 0.86% เทียบกับเดือน ก.ย. 2559 เป็นการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2560) สูงขึ้น 0.59% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

- การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันที่ 4 ต.ค. จะมีการพิจารณาโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือน ต.ค. ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มราคาพลังงานอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่หลายรายได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จึงผลักดันให้ราคาพลังงานสูงขึ้นตามต้นทุน ประกอบกับเศรษฐกิจของหลายประเทศในโลกเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น

- รัฐบาลเตรียมเปิดเจรจากับจีนเพื่อขอทบทวนข้อตกลงการค้า (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-จีนในเรื่องของการปรับอัตราภาษีเหลือ 0% สำหรับสินค้านำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งเป็น 1 ใน 703 รายการมีอัตราภาษีนำเข้า 0% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เห็นว่าจะส่งผลกระทบทั้งในแง่การจัดเก็บภาษีและการดึงนักลงทุนเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

*หุ้นเด่นวันนี้

- WPH (บมจ.โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดหมวดธุรกิจการแพทย์ โดยราคาขาย IPO อยู่ที่ 3.90 บาท/หุ้น ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปี 61 ที่ 4.50 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้หดตัว 44.1% Y-Y จากโรคระบาดและการบริโภคที่ชะลอ ขณะที่ต้นทุนปรับขึ้นเพื่อเตรียมเปิดโรงพยาบาลใหม่ แต่คาดกำไรสุทธิจะกลับมาโตแข็งแกร่ง 66.6% Y-Y ในปีหน้า

บริษัทฯดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ขณะที่การลงทุนอาคารและโรงพยาบาลใหม่จะหนุนการเติบโตระยะยาว

- EA (ธนชาต) "ซื้อ" ปรับเป้าเป็น 46 บาท จากการรวมมูลค่าโครงการ ES ระยะ 2 บางส่วน ด้วยเห็นภาพแผนการเจาะตลาด Micro-grid ชัดขึ้น ผ่านการจ้าง TDRI เพื่อศึกษาการจัดเก็บพลังงาน และคาดว่าผลการศึกษาจะเป็นประตูไปสู่ตลาดไฟฟ้าภาครัฐในอนาคต

- CPF (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 35 บาท ภาพของค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าเป็นบวกต่อกลุ่มส่งออกอย่าง CPF แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเห็นการฟื้นตัว จากงวด Q2/60 รายงานกำไรปกติไม่ถึงเป้าหลังราคาหมูตกต่ำ โดยประเมินว่าธุรกิจส่งออกไก่จะกลับมาเป็นตัวหนุนหลักที่ทำให้ผลประกอบการ Q3/60 กลับมาฟื้นตัว หลังยอดส่งออกไก่ไทยเพิ่มขึ้นราวๆ 8% ราคาไก่ส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 5% Ytd หนุน High Season รวมถึงราคาหมูในเวียดนามเริ่มฟื้นตัว

- SPRC (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 19.40 บาท อิง EV/EBITDA เฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 7.9x ซึ่งยังไม่นับรวมโครงการเพิ่มกำลังการกลั่นอีก 1.21 บาทต่อหุ้น คาดผลการดำเนินงานจะโดดเด่นและดีมากจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีทำจุดสูงสุดในปี โดยคาดผลการดำเนินงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,952 ล้านบาท +397% qoq, +152% yoy 1) กำลังการกลั่นกลับเข้าสู่ภาวะปกติที่ 165 KBD 2) ค่าการกลั่นสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 8.29 เหรียญฯต่อบาร์เรล 3) Stock Gain ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เปิดบวกเช้านี้ รับวอลล์สตรีททำนิวไฮ นลท.จับตาประชุมแบงก์ชาติออสเตรเลีย

      ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางออสเตรเลียในช่วงเช้านี้

        ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,475.25 จุด เพิ่มขึ้น 74.47 จุด, +0.37% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,756.51 จุด เพิ่มขึ้น 1.73 จุด, +0.10% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,462.70 จุด ลดลง 2.46 จุด, -0.02% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,269.49 จุด เพิ่มขึ้น 7.39 จุด, +0.23% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,261.29 จุด เพิ่มขึ้น 5.01 จุด, +0.06%

         ตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ (3 ต.ค.) เนื่องในวันชาติ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ (3 ต.ค.) เนื่องในวันสถาปนาประเทศ

       ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากการทำนิวไฮของตลาดวอลล์สตรีทเมื่อคืนนี้ หลังจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2004 จากระดับ 58.8 ในเดือนส.ค.

       ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค. แตะระดับ 1.21 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 0.4%

        นักลงทุนจับตาธนาคารกลางออสเตรเลียจะประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.5% เนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดพุ่ง 66.08 จุด จากอานิสงส์เงินปอนด์อ่อนค่า

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกติดต่อกัน 4 ทำการเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) โดยดัชนี FTSE 100 ยังทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบสองเดือน จากอานิสงส์ของสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

     ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 66.08 จุด หรือ +0.90% ปิดที่ 7,438.84 จุด

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับอานิสงส์จากการที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับ 1.3269 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3399 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

        นอกจากนี้ สกุลเงินปอนด์ยังอ่อนค่าลง -0.0177% เมื่อเทียบกับยูโร แตะที่ระดับ 1.1301 ยูโร จากระดับ 1.1342 ยูโรในวันศุกร์ ถึงแม้ว่ายูโรจะได้รับแรงกดดันจากการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นกาตาลุญญาในสเปนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ตาม

     ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์ได้ช่วยกระตุ้นรายได้ในต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสกุลเงินอื่นๆ

      หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นอีซีเจ็ท สายการบินชั้นประหยัดรายใหญ่ ซึ่งพุ่งขึ้น 5.2% และหุ้นไรอันแอร์ พุ่งขึ้น 3.5% ภายหลังจาก "โมนาร์ค แอร์ไลน์ส" ซึ่งเป็นสายการบินคู่แข่งได้ประกาศระงับให้บริการทุกเที่ยวบิน สืบเนื่องจากทางสายการบินประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก และจำเป็นต้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยกำกับดูแลกิจการ

     นักวิเคราะห์จากอีทีเอ็กซ์ แคปิตอล กล่าวว่า การที่โมนาร์ค แอร์ไลน์สประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ถือเป็นข่าวดีสำหรับสายการบินโลว์คอสต์รายอื่นๆในอังกฤษ เนื่องจากทั้งไรอันแอร์และอีซีเจ็ทจะสามารถดึงดูดผู้โดยสารได้มากขึ้น แม้จะมีแรงกดดันด้านราคาก็ตาม

         หุ้นอินเตอร์ คอนโซลิเดท แอร์ไลน์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวยส์ เพิ่มขึ้น 2.4% รับกระแสคาดการณ์ที่ว่า ทางสายการบินอาจได้ยอดจองตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากโมนาร์ค แอร์ไลน์ส งดให้บริการเที่ยวบิน เช่นเดียวกับหุ้นอินเตอร์คอนติเนนทัล โฮเทลส์ กรุ๊ป เครือโรงแรมยักษ์ใหญ่ก็เพิ่มขึ้น 1% หลังมีการคาดการณ์ว่า ยอดจองห้องพักของเครือโรงแรมอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้โดยสารสายการบินโมนาร์คที่ตกค้างเป็นจำนวนมาก

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับเงินยูโรอ่อนหลังแคว้นกาตาลุญญาทำประชามติแยกตัวจากสเปน

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกดีดตัวขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยูโรอ่อนค่าลงนั้น มาจากข่าวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลังจากแคว้นกาตาลุญญาได้ลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากสเปน

       ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 390.13 จุด โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 8

         ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,902.65 จุด เพิ่มขึ้น 73.79 จุด หรือ +0.58% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่  5,350.44 จุด เพิ่มขึ้น 20.63 จุด หรือ +0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,438.84 จุด เพิ่มขึ้น 66.08 จุด หรือ +0.90%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออกที่คำนวณในดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนี

        ทั้งนี้ สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังจากชาวคาตาลันในแคว้นกาตาลุญญาได้ออกมาลงประชามติเพื่อแยกตัวออกจากสเปน ขณะที่รัฐบาลสเปนภายใต้การนำของนายมาริอาโน ราฮอยได้ออกมาคัดค้านและได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าขัดขวางการลงประชามติในครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

      หุ้นกลุ่มสายการบินและธุรกิจบริการท่องเที่ยว ปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นอีซีเจ็ท พุ่งขึ้น 5.2% หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 3.5% หุ้น TUI AG ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยวของอังกฤษ ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นคอนโซลิเดท แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริติช แอร์เวย์ส พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นดอยซ์ ลุฟฮันซา พุ่งขึ้น 3.5% และหุ้นแอร์ ชัทเทิล ซึ่งเป็นสายการบินของนอร์เวย์ ปรับตัวขึ้น 1.6%

     อย่างไรก็ตาม ข่าวความวุ่นวายทางการเมืองในสเปนซึ่งเกิดจากการที่แคว้นกาตาลุญญาต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากสเปนนั้น ได้ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารของสเปนร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นบังโค ซานตานเดร์ ปรับตัวลง 1.6% หุ้นบังโค เด ซาบาเดลล์ ดิ่งลง 4.5% หุ้นไคซาแบงก์ ร่วงลง 4.4%

         สำหรับข้อมูลภาคการผลิตของประเทศยุโรปที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ย.ของยูโรโซน อยู่ที่ 58.1 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 57.4 ในเดือนส.ค. แต่ขยับลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 58.2 โดยทำสถิติสูงสุดในรอบ 79 เดือน

       ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ย.ของเยอรมนี เพิ่มขึ้นแตะระดับ 60.6 จากระดับ 59.3 ในเดือนส.ค. โดยตัวเลขดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการขั้นต้น ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษอยู่ที่ 55.9 ในเดือนก.ย. ลดลงจากระดับ 56.7 ในเดือนส.ค.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 152.51 จุด รับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮในการซื้อขายวันแรกของไตรมาส 4 หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงดัชนีภาคการผลิตที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี และการใช้จ่ายภาคก่อสร้างที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐได้ช่วยสกัดปัจจัยลบที่เกิดขึ้นจากเหตุกราดยิงในเมืองลาสเวกัสของสหรัฐเมื่อวานนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

        ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,557.60 จุด พุ่งขึ้น 152.51 จุด หรือ +0.68% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,516.72 จุด เพิ่มขึ้น 20.76 จุด หรือ +0.32% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,529.12 จุด เพิ่มขึ้น 9.76 จุด หรือ +0.39%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2004 จากระดับ 58.8 ในเดือนส.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ แม้มีการคาดการณ์ว่าพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มาจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวในไตรมาส 3 ก็ตาม

       รายงานภาคการผลิตของ ISM ออกมาสอดคล้องกับข้อมูลของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งระบุว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.1 ในเดือนก.ย. จากระดับ 52.8 ในเดือนส.ค. โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ปรับตัวขึ้น และการจ้างงานมีการขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน

       ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค. แตะระดับ 1.21 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 0.4%

    นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีวงเงินเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ

        ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมุมมองบวกเกี่ยวกับมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากรายงานข่าวที่ว่า มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากถึง 59 ราย และบาดเจ็บกว่า 500 ราย จากเหตุกราดยิงในงานคอนเสิร์ต Route 91 Harvest ใกล้กับโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ ที่เมืองลาสเวกัสของสหรัฐ เมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นการก่อเหตุกราดยิงที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ

       เหตุการณ์กราดยิงที่ลาสเวกัสในครั้งนี้ได้ฉุดหุ้นกลุ่มกาสิโนร่วงลง นำโดยหุ้น MGM Resorts International ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ในลาสเวกัส ดิ่งลง 5.6% ขณะที่หุ้น Wynn Resorts ร่วงลง 1.2%

        อย่างไรก็ตาม ข่าวกราดยิงในลาสเวกัสส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทผลิตปืนปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นอเมริกัน เอาท์ดอร์ แบรนด์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสมิธ แอนด์ เวสสัน พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นสเทิร์ม รูเจอร์ แอนด์ โค ทะยานขึ้น 3.5% และหุ้นวิสตา เอาท์ดอร์ พุ่งขึ้น 2.4%

         หุ้นออราเคิล ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากนายแลร์รี เอลลิสัน ผู้บริหารของออราเคิลยืนยันว่า ทางบริษัทจะลดราคาการบริการจัดเก็บฐานข้อมูลในอัตราที่ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างอเมซอน ขณะที่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นอเมซอน ขยับลง 0.2%

        หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ESPN พุ่งขึ้น 1.3% ขณะที่หุ้น Altice USA ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีรายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 0.8% หลังจากทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้น เพื่อให้บริการช่องสถานีดิสนีย์แก่สมาชิกหลายล้านคนในกรุงนิวยอร์กต่อไป

        นักลงทุนจับตาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเปิดเผยมาตรการปรับลดกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมหัวข้อ  "Community Banking in the 21st Century Research and Policy Conference" ในวันพรุ่งนี้ โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยคณะกรรมการเฟด และคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการธนาคารของรัฐบาลสหรัฐ ณ เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี

        นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนก.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ยอดขายรถยนต์เดือนก.ย.  ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนก.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ดุลการค้าเดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์,ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.

          อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!