- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 26 September 2017 14:25
- Hits: 3009
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งกรอบจำกัดเล็งแรงหนุนกลุ่มพลังงานรับราคาน้ำมันดีดขึ้น-โมเมนตัมบวก
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบจำกัด โดยอาจได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่เมื่อวานนนี้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น และตลาดฯก็ยังมีโมเมนตัมเป็นบวกอยู่ แต่ให้รอติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคำพิพากษาคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันพรุ่งนี้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบคละกัน โดยแนะจับตาถ้อยแถลงประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธนี้ และติดตามสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีต่อไป
ทั้งนี้ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนการปิดงบฯไตรมาส 3/60 แต่มองโอกาส Window Dressing อาจเกิดขึ้นไม่มาก เพราะหุ้นก็ขึ้นมามากแล้ว อีกทั้งนักลงทุนคงมองหาหุ้นที่จะมีงบฯดีมากกว่า พร้อมให้จับตาการทำ Short ในตลาดฟิวเจอร์สของนักลงทุนต่างชาติอาจกดดันตลาดฯได้
พร้อมให้แนวรับ 1,657 จุด ส่วนแนวต้าน 1,676 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,296.09 จุด ลดลง 53.50 จุด (-0.24%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,370.59 จุด ลดลง 56.33 จุด (-0.88%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,496.66 จุด ลดลง 5.56 จุด (-0.22%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 191.73 จุด, -0.70% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.20 จุด, -0.16% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 2.98 จุด, -0.09% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 2.45 จุด, -0.02% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.59 จุด, -0.03% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 8.78 จุด, -0.37% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 48.32 จุด, -0.24%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 ก.ย.60) 1,667.59 จุด เพิ่มขึ้น 8.54 จุด (+0.51%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 588.61 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 ก.ย.60) ปิดที่ระดับ 52.22 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.56 ดอลลาร์ หรือ 3.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 ก.ย.60) ที่ 8.32 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.12 อ่อนค่า หลังดอลลาร์ฟื้นตัวเหตุตลาดกังวลการจัดตั้งรัฐบาลของเยอรมนี
- "บัณฑูร" ห่วงแผนปฏิรูปประเทศรัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลง เหตุอาจไปขัดผลประโยชน์ใครหลายคน ชี้หากไทยปรับตัวไม่ทัน ประเทศและประชาชนเป็นผู้รับผลเสียมากสุด กังวลการเข้ามาของเทคโนโลยีรายใหญ่ ไทยเป็นได้แค่ลูกค้า ขณะที่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้คุมเส้นทางการค้า
- ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงนาม โดยนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2560 โดยมีเนื้อหากำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงของประเทศ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลด้านเงินกองทุน และมาตรการกำกับดูแลอื่นที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากมีความสามารถในการรองรับความเสียหายได้มากขึ้น เพื่อลดโอกาสที่จะประสบปัญหาจนส่งผลกระทบต่อระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics)คาด ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตลอดปี 2560 จากการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มปรับดีขึ้นจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในอัตราที่สูง อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนก็ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องสนับสนุนโดยรายได้เกษตรกรที่ปรับดีขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเปราะบางเนื่องจากหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง
- รฟท.เดินหน้าเปิดประมูลที่ดินเชิงพาณิชย์ 3 แปลง 2 แสนล้านบาท ไตรมาสแรกปีหน้า พร้อมเสนอบอร์ด 12 ต.ค. จัดหาหัวรถจักร 100 คัน วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- SKN (บมจ. ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดหมวดวัสดุก่อสร้าง โดยมีราคาขาย IPO 7.35 บาท/หุ้น ด้านบล.ทรีนีตี้ แนะนำ"ซื้อ"ประเมินราคาเป้าหมายสำหรับปี 2561 ที่ 9.30 บาท อ้างอิงระดับ PE ที่ 14.50 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PE ของบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดฯ โดย ณ ราคาเป้าหมายคิดเป็น PEG ที่เพียง 0.40 เท่า พร้อมประเมิน ณ สิ้นปี 2560 SKN จะมีรายได้รวมราว 1,531 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4%YoY โดยมีอัตราการทำขั้นต้นที่ 35% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 252 ล้านบาท และจะเติบโตอย่างโดดเด่นจากการลงทุนในสายการผลิตเพิ่มเติมอีก 1 สาย ซึ่งจะส่งผลให้ SKN มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 240,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เป็น 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในกลาง 3Q61 จึงคาดในปี 61 รายได้ของบริษัทเติบโตสูงถึง 36% มาอยู่ที่ 2,084 ล้านบาท
- FTE (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.30 บาท ผู้บริหารปรับเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้เป็น +20% Y-Y จากเดิม +10% Y-Y ใกล้เคียงกับคาดการณ์ที่ +19% Y-Y โดยงานในมือที่มีเกือบ 500 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ช่วงที่เหลือของปี 60-70% ขณะที่กำไรสุทธิจะโตแรงกว่าเพราะมาร์จิ้นขยายตัวจากเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่ากำไรสุทธิจะทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่ 3Q60 (คาด 32 ล้านบาท +17% Q-Q, 36% Y-Y) ซึ่งทำให้ทั้งปีมีโอกาสทำได้ดีกว่าคาดที่ 114 ล้านบาท +31% Y-Y
- CPALL (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "เก็งกำไร" จากประเด็นรัฐบาลเริ่มแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชนกว่า 11ล้านคนทั่วประเทศ (ค่าเดินทาง ,ค่าอาหารร้านธงฟ้า และค่าก๊าซหุงต้ม) รวมประมาณ 845 บาท/เดือน ถือเป็นประเด็นบวกทางอ้อมต่อกลุ่มค้าปลีกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งคาด CPALL จะได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวด้วย ยอดซื้อต่อบิลประมาณ 67-70 บาท และมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 10,200 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ และบริษัทอยู่ระหว่างการขอ License ขยายสาขาไปยังลาวและกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่การแข่งขัน Modern trade ต่ำ เปิดโอกาสเติบโต พร้อมคาดกำไร 3Q60 เติบโต YoY จากขยายสาขา และกิจกรรมสะสมแสตมป์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ เหตุวิตกความตึงเครียดสหรัฐ-เกาหลีเหนือ
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศของเกาหลีเหนือระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,308.61 จุด ลดลง 191.73 จุด, -0.70% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,336.35 จุด ลดลง 5.20 จุด, -0.16% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,212.93 จุด ลดลง 2.98 จุด, -0.09% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,333.44 จุด ลดลง 2.45 จุด, -0.02% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,768.55 จุด ลดลง 0.59 จุด, -0.03% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,371.62 จุด ลดลง 8.78 จุด, -0.37% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,349.26 จุด ลดลง 48.32 จุด, -0.24%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงกดดัน หลังจากนายรี ยอง โฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ กล่าวว่า คำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ถือเป็นการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน และเกาหลีเหนือมีสิทธิที่จะทำการตอบโต้
"นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศสงครามต่อประเทศของเรา เราจึงมีสิทธิทุกประการที่จะใช้มาตรการตอบโต้ ซึ่งรวมถึงการยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ ถึงแม้ว่าเครื่องบินเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในน่านฟ้าของเกาหลีเหนือ" เขากล่าว
"หลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศสงคราม ทางเลือกทั้งหมดก็ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะของท่านผู้นำแล้ว" นายรีกล่าว ซึ่งการประกาศกร้าวของเกาหลีเหนือในครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดกังวลว่า สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอาจกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันอังคารที่แล้ว โดยเขาได้กล่าวถึงเกาหลีเหนือว่า หากสหรัฐถูกคุกคามจากเกาหลีเหนือ และหากสหรัฐถูกบังคับให้ต้องปกป้องตนเอง สหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากที่จะต้องทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 9.35 จุด จากแรงฉุดของหุ้นแบงก์, ปอนด์แข็งค่าเทียบยูโร
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) จากแรงฉุดรั้งของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ร่วงลงหลังธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการขยายตัวของหนี้สินภาคครัวเรือน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร สืบเนื่องจากผลการเลือกตั้งที่น่าผิดหวังในเยอรมนี โดยพรรคแนวร่วมของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาด
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 9.35 จุด หรือ -0.13% ปิดที่ 7,301.29 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากการที่สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปอนด์ หลังพรรคแนวร่วมของนางแมร์เคิล สามารถครองเก้าอี้ในสภาได้เพียง 33% จากเดิมในปี 2013 ซึ่งกวาดที่นั่งได้ถึง 41.5% โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดของพรรคพันธมิตรของนางแมร์เคิล นับตั้งแต่ปี 1949
นอกจากนี้ ยูโรยังร่วงลงจากผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาฝรั่งเศสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยพรรครีพับลิกัน แนวฝ่ายขวา สามารถกวาดที่นั่งในวุฒิสภาได้มากที่สุดจากจำนวนทั้งหมด 348 ที่นั่ง ตามมาด้วยพรรคโซเชียลลิสต์ และพรรคอองมาร์ชของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความวิตกขึ้นว่า การผลักดันนโยบายต่างๆของมาครองหลังจากนี้ อาจเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสซึ่งมีส.ส.จากพรรคอองมาร์ชครองเสียงข้างมากอยู่นั้น จะมีสิทธิ์ขาดในการโหวตขั้นสุดท้ายก็ตาม
นักวิเคราะห์จากแอคเซนโด มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "ผลการเลือกตั้งที่น่าผิดหวังสำหรับนางแมร์เคิล บวกกับการที่พรรคอองมาร์ชของนายมาครองพ่ายแพ้ให้กับพรรคฝ่ายขวาในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาฝรั่งเศส เป็นปัจจัยหลักที่ฉุดสกุลเงินยูโรร่วงลงอย่างหนัก"
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันภายหลังจากธนาคารกลางอังกฤษได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงกันถ้วนหน้า โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ลดลง 1% หุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ร่วงลง 1.6% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วง 1.7% หุ้นเอชเอสบีซี ขยับลง 0.8% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ลดลง 0.3%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขณะนักลงทุนปรับตัวรับผลเลือกตั้งเยอรมนี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับผลการเลือกตั้งเยอรมนี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองในเยอรมนีอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลของนางอังเกลา แมร์เคิล ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาด แม้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตาม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.2% ปิดที่ 383.90 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,594.81 จุด เพิ่มขึ้น 2.46 จุด หรือ +0.02% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,267.13 จุด ลดลง 14.16 จุด หรือ -0.27% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,301.29 จุด ลดลง 9.35 จุด หรือ -0.13%
นักลงทุนซึมซับผลการเลือกตั้งของเยอรมนีซึ่งระบุว่า พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (CSU) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของนางอังเกลา แมร์เคิล ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พรรค CDU/CSU ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4
อย่างไรก็ตาม พรรค CDU/CSU ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาด โดยทางพรรคได้จำนวนเก้าอี้ในสภาเพียง 33% จากเดิมในปี 2013 ซึ่งกวาดที่นั่งได้ถึง 41.5% โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดของพรรคพันธมิตรของนางแมร์เคิล นับตั้งแต่ปี 1949
หุ้นยูนิลีเวอร์ ปรับตัวขึ้น 0.1% หลังจากมีรายงานว่า ยูนิลีเวอร์ได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการคาเวอร์ โคเรีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ด้านความงามของเกาหลีใต้ ในวงเงิน 2.27 พันล้านยูโร หรือ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในตลาดสกินแคร์ในภูมิภาคเอเชียเหนือ
หุ้นทุลโลว์ออยล์ พุ่งขึ้น 7.1% ขานรับข่าวที่ว่าทางบริษัทเริ่มกลับมาดำเนินการขุดเจาะน้ำมันในประเทศกานาอีกครั้ง หลังจากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 53.50 จุด จากแรงขายหุ้นเทคโนฯ,วิตกสถานการณ์เกาหลีเหนือ
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) จากแรงขายที่ส่งเข้าฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ หลังจากเกาหลีเหนือออกมาระบุว่า คำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือนั้น ถือเป็นการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน และเกาหลีเหนือมีสิทธิที่จะตอบโต้
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,296.09 จุด ลดลง 53.50 จุด หรือ -0.24% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,370.59 จุด ลดลง 56.33 จุด หรือ -0.88% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,496.66 จุด ลดลง 5.56 จุด หรือ -0.22%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ หลังจากที่นายรี ยอง โฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุว่า "นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศสงครามต่อประเทศของเรา เราจึงมีสิทธิทุกประการที่จะใช้มาตรการตอบโต้ ซึ่งรวมถึงการยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ ถึงแม้ว่าเครื่องบินเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในน่านฟ้าของเกาหลีเหนือ"
"หลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศสงคราม ทางเลือกทั้งหมดก็ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะของท่านผู้นำแล้ว" นายรีกล่าว ซึ่งการประกาศกร้าวของรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือในครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดกังวลว่า สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอาจกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 4.5% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 1.55% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.88% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 1.42% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 5 สัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า "จากแนวโน้มราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบที่เบาบางลงของปัจจัยพิเศษชั่วคราว ผมจึงคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้น และมีเสถียรภาพที่ราวระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ในระยะกลาง ซึ่งจะทำให้เฟดยังคงถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป"
ทั้งนี้ คำกล่าวของนายดัดลีย์ถือเป็นการเน้นย้ำการคาดการณ์ที่ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ในเดือนธ.ค. หลังปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.
ขณะที่นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า เขาเห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆที่เชื่อว่า เฟดควรจะค่อยๆปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึงระดับ 2.7% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 1.00-1.25%
นักลงทุนจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ ที่รัฐโอไฮโอ และนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด ซึ่งมีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.โดย S&P/Case-Shiller, ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค.
อินโฟเควสท์