- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 08 September 2017 14:27
- Hits: 6426
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้นต่อจากแรงเก็งกำไรหลังสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวชัดเจน-เริ่มปรับประมาณการกำไรบจ.ดีขึ้น
นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปต่อได้ จากกระแสการเก็งกำไร เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามา ขณะเดียวกันเรื่องของการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯก็คุยกันได้แล้ว ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะหารือเรื่องการปรับลดวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนต.ค. ช่วงนี้ก็คงรอดูเศรษฐกิจไปก่อน ขณะที่เรื่องสำคัญ ๆ ได้ถูกเลื่อนไปปลายปี
ส่วนบ้านเราจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่โครงสร้างกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯจะอิงสินค้าโภคภัณฑ์มาก ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับเข้ามา
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ทรงตัวในแดนบวกเล็กน้อย พร้อมมองวานนี้นักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้อ และกองทุนก็ยังซื้อ ทำให้เป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดฯ ทั้งนี้ให้แนวรับ 1,625 จุด ส่วนแนวต้าน 1,637-1,650 จุด โดยเล็งหุ้นที่น่าสนใจที่กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มค้าปลีก
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,784.78 จุด ลดลง 22.86 จุด (-0.10%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,397.87 จุด เพิ่มขึ้น 4.55 จุด (+0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,465.10 จุด ลดลง 0.44 จุด (-0.02%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 98.56 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.07 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 48.67 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.91 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 21.62 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ก.ย.60) 1,632.66 จุด เพิ่มขึ้น 11.36 จุด (+0.70%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,097.40 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ก.ย.60) ปิดที่ 49.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 7 เซนต์ หรือ 0.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ก.ย.60) ที่ 9.63 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.06 แนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง รับเม็ดเงินไหลเข้าพันธบัตร-ตลาดหุ้น
- นายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงผลการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 กับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในปี 2563 ไทยตั้งเป้าการค้าร่วมกับกัมพูชา มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- โครงการรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา-จิระ สัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟ วงเงิน 9,399 ล้านบาท ซึ่งการประมูลเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่มีข้อร้องเรียนจากผู้ร่วมประมูล ซึ่งตัวแทนบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลทั้ง 4 ราย มีการเคาะราคาแข่งขันกันทุกเจ้า สำหรับสัญญาที่ 3 นั้นเอกชนที่เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 9,290 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 109 ล้านบาท คิดเป็น 1.15%
- ขณะนี้กระทรวงการคลังได้นำร่อง 5 โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านบาท เข้าโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐของประเทศไทย (CoST) โดยสร้างกลไกและมาตรฐานของการเปิดเผยข้อมูล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในทุกๆ ขั้นตอนที่เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างภาครัฐ โดยการนำร่อง 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มเป็น 3.8% จาก 3.3% จากการส่งออก-บริโภคเอกชนที่ดีกว่าคาด แต่เป็นการขยายอย่างกระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ยังไม่ลงไปถึงเอสเอ็มอี-รายย่อย ด้านสินเชื่อเติบโตดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ คาดค่าบาทสิ้นปีที่ 33.30
- 'สมชัย สัจจพงษ์' ปลัดกระทรวงการคลัง เผยมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวยังไม่มีความคืบหน้า เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังไม่กลับมาหารือกับกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่า ททท.คงจะไม่ต้องการมาตรการนี้อีกต่อไปแล้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- SPALI (ธนชาต) 'ซื้อ' เป้า 32.75 บาท (ก่อน XW วันที่ 18 ก.ย.) และ 27 บาท (หลัง XW).ราคาหุ้นปรับลดลงแรงหลังประกาศออก Warrant และงดปันผลปีนี้ จนทำให้ valuation น่าสนใจอีกครั้ง โดย Presale ทำจุดสูงสุดใหม่ปีนี้, backlog สูง หนุนกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2560-2562
- ITEL (ฟินันเซีย ไซรัส) 'ซื้อ'เป้า 7.20 บาท ปรับประมาณการกำไรปี 2560-2561 ขึ้น 3% และ 10% เป็น 132 ล้านบาท (+96% Y-Y) และ 206 ล้านบาท (+56% Y-Y) ตามลำดับ จากการรวมโครงการเน็ตชายขอบของ กสทช. มูลค่าราว 1.87 พันล้านบาท ชอบ ITEL ด้วยแนวโน้มผลประกอบการที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า จากแรงหนุนของภาครัฐฯ ที่ต้องการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจมากขึ้น และการเปลี่ยนมาใช้ Private Network ของภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้ PE ที่สูงราว 44 เท่าในวันนี้ลดเหลือเพียง 14 เท่าในปี 2564
- SPA (ไอร่า) เป้า 15.70 บาท ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ที่กลับมาเป็นปกติ และกำลังทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ในเดือนก.ค. พร้อมคากการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีน ยังคงแข็งแกร่งตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า โดย SPA มีเป้าขยายสาขาเพิ่มปีละ 10 สาขาในช่วง 2 ปีข้างหน้า (Secure พื้นที่สำหรับปีหน้าแล้ว 4 แห่ง) ล่าสุดขยายเข้าสู่ตลาดระดับกลางตามหัวเมืองรองต่างๆ รวมถึงสปาระดับ Luxury เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่พำนักในไทย นอกจากนี้ SPA ยังมุ่งเน้นเข้าให้บริการสปาในโรงแรมต่างๆ ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่าสาขาปกติ และคาด SPA ยังมีโอกาสเติบโตในตลาดสปาเพื่อนักท่องเที่ยว ที่มูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท พร้อมประเมินการเติบโตกำไรเฉลี่ย ปี 60-62 สูง 33%
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนส.ค. ที่จะมีการเปิดเผยในเช้าวันนี้ รวมถึงตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค. ที่จะมีการเปิดเผยในวันเสาร์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,297.96 จุด ลดลง 98.56 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,364.43 จุด ลดลง 1.07 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,571.59 จุด เพิ่มขึ้น 48.67 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,553.90 จุด เพิ่มขึ้น 15.39 จุด
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,350.19 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,226.65 จุด ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,781.07 จุด ลดลง 1.91 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,044.60 จุด เพิ่มขึ้น 21.62 จุด
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 42.85 จุด จากอานิสงส์ปอนด์อ่อนเทียบยูโร หลัง ECB มีคงนโยบายการเงิน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) จากอานิสงส์การที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร ภายหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะที่นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB จะพิจารณาเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ พร้อมกับแย้มว่าการตัดสินใจต่างๆอาจมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนต.ค.นี้
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 42.85 จุด หรือ +0.58% ปิดที่ 7,396.98 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างระมัดระวังในช่วงแรก เนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผลก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด โดย ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% อันเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่าอาจมีการเพิ่มวงเงิน QE หรือขยายเวลาในการใช้มาตรการ QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง
นายดรากีกล่าวในการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ว่า ECB จะตัดสินใจเกี่ยวกับวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ นอกจากนี้เขายังระบุด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ ECB ดำเนินนโยบาย QE ต่อไป ขณะที่เงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลาง
ภายหลังจากการแถลงข่าวของนายดรากีสิ้นสุดลง ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น +0.0416% แตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 1.2059 ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปอนด์ที่ระดับ 0.9184 ปอนด์ จากระดับ 0.9137 ปอนด์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันพุธ ทั้งนี้ยูโรโซนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ซึ่งการแข็งค่าของยูโร ก็หมายความว่า สินค้าของอังกฤษจะถูกลงสำหรับผู้บริโภคในยูโรโซน ดังนั้นจึงเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกของอังกฤษเมื่อคืนนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามทิศทางของหุ้นกลุ่มการเงินในยุโรป หลัง ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยหุ้นเอชเอสบีซี ลดลง 0.7% หุ้นบาร์เคลย์ส ลดลง 1% และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 1.2% ขณะที่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ลดลง 1.4%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับที่ประชุม ECB คงดอกเบี้ย,วงเงิน QE ตามคาด
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมเมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.3% ปิดที่ 374.95 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,114.62 จุด เพิ่มขึ้น 13.21 จุด หรือ +0.26% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,296.63 จุด เพิ่มขึ้น 82.09 จุด หรือ +0.67% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,396.98 จุด เพิ่มขึ้น 42.85 จุด หรือ +0.58%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ขณะเดียวกัน ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค.
ด้านนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า ECB จะตัดสินใจเกี่ยวกับการขยายเวลาในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในการประชุมเดือนต.ค. โดยนายดรากียอมรับว่า ECB ได้ทำการหารือในเบื้องต้นเกี่ยวกับมาตรการ QE ในการประชุมเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ ECB มีกำหนดคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค.
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น หลังจากนักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ และบาร์เคลย์ส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนในหุ้นกลุ่มรถยนต์ โดยหุ้นเดมเลอร์ ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้นบีเอ็มดับเบิลยู พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นโฟล์คสวาเกน เพิ่มขึ้น 0.3%
หุ้น RWE AG พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้น E.ON SE ทะยานขึ้น 1.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นบริษัทพลังงานทั้งสองแห่ง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจาก ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นดอยซ์แบงก์ ร่วงลง 1.2% หุ้นโซซิเอเต เจเนอรัล (ซ็อคเจน) ลดลง 0.6% และหุ้นบังโค ซานตานเดร์ ปรับตัวลง 0.4%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 22.86 จุด หลังหุ้นกลุ่มแบงก์-กลุ่มสื่อร่วงหนัก
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อถูกเทขายอย่างหนัก หลังจากบริษัทคอมแคสต์ และวอลท์ ดิสนีย์ ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขาย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน "เออร์มา" และความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนืออาจยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ในวันเสาร์นี้ ซึ่งเป็นวันชาติของเกาหลีเหนือ
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,784.78 จุด ลดลง 22.86 จุด หรือ -0.10% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,465.10 จุด ลดลง 0.44 จุด หรือ -0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,397.87 จุด เพิ่มขึ้น 4.55 จุด หรือ +0.07%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.4% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภท 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.037% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 2.653% เมื่อคืนนี้
หุ้นกลุ่มสื่อปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ร่วงลง 4.4% หลังจากซีอีโอของวอลท์ ดิสนีย์ ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในปี 2560 ขณะที่หุ้นคอมแคสต์ ดิ่งลง 6.2% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการเช่นกัน ส่วนหุ้นเวียคอม และหุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 2%
หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.4% หลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า แอปเปิลอาจจะเลื่อนการเปิดตัว iPhone 8
หุ้นเจเนอรัล อิเล็คทริก (GE) ดิ่งลง 3.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น GE
ควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียลกล่าวว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนเออร์มา และความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนืออาจแสดงแสนยานุภาพด้วยการยิงขีปนาวุธ ICBM เพื่อฉลองวันชาติในวันเสาร์นี้ ได้ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อขาย โดยขณะนี้พายุเฮอร์ริเคนเออร์มา ซึ่งมีความรุนแรงในระดับ 5 กำลังเคลื่อนตัวในทะเลคาริบเบียน และรัฐฟลอริดา
หุ้นกลุ่มประกันร่วงลงเนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเออร์มา ขณะที่ AccuWeather ได้ประมาณการความเสียหายของพายุเออร์มาเอาไว้สูงถึง 1.90 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ หุ้น iShares U.S. Insurance ETF ร่วงลง 2.1% ขณะที่หุ้น PowerShares KBW Property & Casualty Insurance Portfolio ดิ่งลง 3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้น 62,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 298,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 241,000 ราย
อินโฟเควสท์