- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 07 September 2017 10:58
- Hits: 5013
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ขึ้นตามตลาดตปท.หลังสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้-จับตาประชุม ECB
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดว่าตลาดหุ้นไทยเช้านี้จะปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกัน ภายหลังจากที่ประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯได้บรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสแล้ว โดยขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค.60 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 29 ก.ย.60 การขยายระยะเวลานี้ทำให้หลีกเลี่ยงการ shut down บางหน่วยงานของรัฐ และส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นทำให้ไปช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน
อย่างไรก็ดีให้จับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) คืนนี้ด้วยว่าจะมีการพูดถึงการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หรือไม่ สำหรับบ้านเรานักลงทุนอาจต้องระวังการลงทุนบ้าง หลังจากที่เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิเป็นวันแรก แต่กองทุนในประเทศได้กลับมาซื้อหลังจากที่ได้ขายต่อเนื่อง
พร้อมให้แนวรับ 1,615 จุด ส่วนแนวต้าน 1,626 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,807.64 จุด เพิ่มขึ้น 54.33 จุด (+0.25%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,393.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.74 จุด (+0.28%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,465.54 จุด เพิ่มขึ้น 7.69 จุด (+0.31%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 75.47 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.76 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 204.11 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 16.93 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 9.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.58 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 19.86 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ย.60) 1,621.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.88 จุด (+0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 510.10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ก.ย.60) ปิดที่ 49.16 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.50 ดอลลาร์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ย.60) ที่ 9.88 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.14 แนวโน้มแข็งค่ารับเม็ดเงินยังไหลเข้าต่อเนื่อง มองกรอบวันนี้ 33.10-33.20
- รัฐบาล-ธนาคารกลางในเอเชียถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและสินทรัพย์ต่างชาติอื่นๆ สูงเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความพยายามที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับสกุลเงินท้องถิ่น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น 15% ขณะที่ของไทยโต 14%
- สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาความเหมาะสมแนวทาง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแนวระเบียงเศรษฐกิจอีอีซีรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ รูปแบบอุตสาหกรรมอนาคต ซูเปอร์คลัสเตอร์ รวม 101 โครงการ วงเงินลงทุน 3.42 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแผนลงทุนใหม่ไม่รวมอยู่ในแพ็กเกจลงทุน EEC Track (โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง การพัฒนาขยายท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา)
- 'อภิศักดิ์ ตันติวรงศ์ง' ระบุ แนวโน้มการจัดอันดับการทำธุรกิจในไทยจากธนาคารโลกปีนี้ดีกว่าปีก่อน หลังธนาคารโลกแจ้งข้อมูลเบื้องต้นไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมากใน 4 เรื่อง "เลขาฯ ก.พ.ร." มั่นใจคะแนนที่ประกาศ ต.ค.นี้ดีขึ้นมาอยู่ในช่วงอันดับกว่า 30 แน่นอน
- 'ไฮดูเบสท์'ทุนใหญ่จีน-ไทย ทุ่ม 8 หมื่นล้าน ผุดโครงการทรัสซิตี้ เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกครบวงจรสุดของเอเชีย ตั้งเป้าหมายเป็นฮับฟินเทคใหญ่สุดในโลก เผยแบ่งพื้นที่ 6 โซน พร้อมรองรับการเชื่อมต่อจากสนามบินสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้า เมืองธุรกิจ เปิดบริการปี'63
*หุ้นเด่นวันนี้
- TU (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะนำ"ซื้อเมื่ออ่อนตัว"ราคาเป้าหมาย 24.70 บาท หากสหรัฐฯปรับลดภาษี คาด TU ประหยัดภาษีได้ราว 300 ล้านบาท/ปี ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5% จากประมาณการของเรา และคาดกำไร Q3/60 ฟื้นในช่วงพีคซีซั่น ปริมาณขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนแซลมอนเริ่มลดลง TU ยังหันมาให้ความสำคัญกับการทำกำไรจากเดิมเน้นเพิ่มยอดขาย ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนต้นทุนปลาทูน่าที่สูงขึ้น เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
- MBAX (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท ราคาหุ้นหลังจากนี้ควรสะท้อนปัจจัยพื้นฐานได้ดีขึ้น หลังลูกหุ้นจากการแปลง MBAX-W1 ชุดสุดท้ายเข้าซื้อขายในตลาดหมดแล้ว แนวโน้มกำไร H2/60 มีโอกาสโตแรง Y-Y และกำไรทั้งปีอาจดีกว่าที่เราคาดที่ 70 ลบ. +20% Y-Y จากต้นทุนเม็ดพลาสติก LDPE ที่ลดลง การลดของเสียและต้นทุนการผลิต รวมถึงการนำเงินที่ได้จาก W1 ไปลดหนี้และดอกเบี้ยจ่าย ขณะที่ ยอดขายถุงซิบล็อกยังขยายตัวดีโดยเฉพาะฮ่องกงที่เป็นตลาดใหม่
- ITEL (ฟินันเซย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 7 บาท จากประเด็ฯที่ประชุมบอร์ดดีอีเร่งรัดให้ลงทุนเน็ตชายขอบที่กดดันราคาหุ้นขณะนี้
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ รับแกนนำสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่แกนนำในสภาคองเกรสของสหรัฐ ได้บรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐ (ชัตดาวน์) ได้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,433.44 จุด เพิ่มขึ้น 75.47 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,383.63 จุด ลดลง 1.76 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,817.87 จุด เพิ่มขึ้น 204.11 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,564.79 จุด เพิ่มขึ้น 16.93 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,328.94 จุด เพิ่มขึ้น 9.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,241.94 จุด เพิ่มขึ้น 9.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,775.06 จุด เพิ่มขึ้น 2.58 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,003.83 จุด เพิ่มขึ้น 19.86 จุด
ทั้งนี้ นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และนางแนนซี เปโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า พวกเขาสามารถบรรลุข้อตกลงกับแกนนำพรรครีพับลิกันในการขยายเพดานหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. โดยหากข้อตกลงดังกล่าวสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเต็มคณะ ก็จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. และยังช่วยให้รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ด้วยเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 18.79 จุด เหตุปอนด์แข็งค่า, หุ้นประกันภัยร่วง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) จากแรงกดดันของสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มส่งออก นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้รับแรงฉุดจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มประกันภัย สืบเนื่องจากนักลงทุนวิตกผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน "เออร์มา" ที่กำลังจ่อพัดถล่มรัฐฟลอริดาของสหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 18.79 จุด หรือ -0.25% ปิดที่ 7,354.13 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ยังคงถูกกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินปอนด์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 1.3069 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ จากระดับ 1.3033 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในวันอังคาร
การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ปรับตัวลดลง โดยหุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป ลดลง 1.4% หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ ร่วง 2.7% และหุ้นโรลส์-รอยซ์ โฮลดิงส์ ขยับลง 0.9%
หุ้นกลุ่มประกันภัยปรับตัวลงตามทิศทางของหุ้นกลุ่มเดียวกันในยุโรป จากกระแสความวิตกกังวลว่า พายุเออร์มา ซึ่งได้เพิ่มกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 จะสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ขณะที่พายุดังกล่าวกำลังเคลื่อนตัวจากทะเลแคริบเบียนเข้าพัดถล่มเปอร์โตริโก หมู่เกาะเวอร์จิน และรัฐฟลอริดาของสหรัฐ โดยหุ้นพรูเด็นเชียล บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ ลดลง 0.8%
หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นเบิร์กเลย์ กรุ๊ป ร่วงลง 2.5% หลังบริษัทสร้างบ้านรายใหญ่ดังกล่าวเปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงลอนดอนยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่แน่นอน หลังอังกฤษเริ่มกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงซื้อหุ้นรถยนต์หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ขณะนลท.จับตาประชุม ECB
ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันนี้ เพื่อดูว่านายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB จะส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หรือไม่
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 373.95 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,214.54 จุด เพิ่มขึ้น 90.83 จุด หรือ +0.75% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,101.41 จุด เพิ่มขึ้น 14.85 จุด หรือ +0.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,354.13 จุด ลดลง 18.79 จุด หรือ -0.25%
หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ หลังจากนักวิเคราะห์ของสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นบริษัทรถยนต์รายใหญ่
หุ้นเดมเลอร์ พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเดมเลอร์ขึ้นสู่ระดับ "buy" จากระดับ "neutral" ขณะที่หุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ พุ่งขึ้น 4.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equalweight"
ส่วนหุ้นโฟล์คสวาเกน และหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ต่างก็พุ่งขึ้น 1.6%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี และความเป็นไปได้ที่ว่าเกาหลีเหนืออาจจะทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ในวันเสาร์ที่ 9 ก.ย.นี้ เพื่อฉลองวันชาติ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานประจำเดือนก.ค.ของเยอรมนี หดตัวลง 0.7% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.4%
นักลงทุนจับตาการประชุม ECB ในวันนี้ ซึ่ง ECB อาจส่งสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 54.33 จุด รับทรัมป์บรรลุข้อตกลงแกนนำคองเกรสขยายเพดานหนี้
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ และแกนนำในสภาคองเกรส ได้บรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐ (ชัตดาวน์) นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,807.64 จุด เพิ่มขึ้น 54.33 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,465.54 จุด เพิ่มขึ้น 7.69 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,393.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.74 จุด หรือ +0.28%
ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น หลังจากนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และนางแนนซี เปโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า พวกเขาสามารถบรรลุข้อตกลงกับแกนนำพรรครีพับลิกันในการขยายเพดานหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. โดยหากข้อตกลงดังกล่าวสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเต็มคณะ ก็จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐไปจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. และยังช่วยให้รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ สืบเนื่องมาจากการที่โรงกลั่นน้ำมันบางส่วนของสหรัฐในแถบกัลฟ์โคสต์ได้เริ่มกลับมาทำการผลิต หลังจากที่ต้องปิดการดำเนินงานก่อนหน้านี้จากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์
ทั้งนี้ หุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน คอร์ป พุ่งขึ้นกว่า 2%
หุ้นแก๊ป ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าชั้นนำของสหรัฐ ทะยานขึ้น 7.5% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า แบรนด์เสื้อผ้า "Old Navy" ของบริษัทจะทำยอดขายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเมซี่ อิงค์ พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นโคล์ท ทะยานขึ้น 4.9% หุ้นโฮม ดีโปท์ พุ่งขึ้นกว่า 2%
หุ้นฮิวเล็ต แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรซ์ ปรับตัวลง 1.9% แม้บริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. สู่ระดับ 4.37 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสหรัฐจะขาดดุลการค้า 4.46 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค.
ขณะที่ผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2015 จากระดับ 54.7 ในเดือนก.ค.
นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวภายในองค์กรของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟดวัย 74 ปี ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้ และจะมีผลในวันที่ 13 ต.ค.นี้ โดยการลาออกของนายฟิสเชอร์จะเปิดโอกาสให้ปธน.ทรัมป์ส่งคนของตนเข้ารับตำแหน่งในคณะกรรมการเฟด ในช่วงที่เฟดกำลังดำเนินการปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติ ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดงบดุลจากวงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค.
อินโฟเควสท์