WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Bay Sellภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนตัวลง เสี่ยงเงินทุนไหลออกหลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะกลับมาแข็งค่า-Bond yield สูง

     นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะอ่อนตัวลง โดยดัชนีฯคงจะยังไม่ไปไหนไกลด้วย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลาร์สหรัฐฯจะกลับมาแข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond yield) ก็สูงต่อไป ทำให้มีความเสี่ยงทิศทางเงินทุนจะไหลออกได้

        อย่างไรก็ดี ตลาดฯเช้านี้อาจได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานได้บ้าง แต่คิดว่าถ้ายังไม่ผ่าน 1,570 จุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับตัวลงได้อยู่

        ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยวันนี้แนะนำให้เลือกลงทุนหรือเก็งกำไรหุ้นเป็นรายตัวที่มีโอกาสได้ประโยชน์ในระยะถัดไป อย่างราคาถ่านหินฟื้นตัว ก็แนะนำ LANNA, ค่าระวางเรือฟื้น ก็แนะนำ TTA, PSL เป็นต้น พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,570-1,560 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

        - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ส.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,674.51 จุด ลดลง 76.22 จุด (-0.35%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,216.53 จุด ลดลง 5.39 จุด (-0.09%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,425.55 จุด ลดลง 4.46 จุด (-0.18%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 39.12 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 5.86 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 53.06 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 5.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.50 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ส.ค.60) 1,566.53 จุด ลดลง 2.42 จุด (-0.15%)

       - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 837.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ส.ค.60

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ส.ค.60) ปิดที่ 48.51 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.42 ดอลลาร์ หรือ 3%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ส.ค.60) ที่ 8.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 33.20/23 ทรงตัว รอความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยตปท.ช่วงปลายสัปดาห์นี้

       - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลือของปีแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 3 ปัจจัย คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งในเดือน ต.ค.นี้ จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ,ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดในช่วงครึ่งปีแรก เป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่า อาจมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังตามการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มต้นขึ้น และกระแสเงินทุนต่างประเทศเสี่ยงไหลออก โดยประเมินสิ้นปีนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 35.60 บาท/ดอลลาร์

      - อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เผยได้รับการจัดสรรงบลงทุนในปีงบประมาณ 2561 ราว 9,614 ล้านบาท เพื่อขยายการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของท่าอากาศยานขอนแก่น วงเงินประมาณ 2,954 ล้านบาท คาดว่าหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะรองรับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ได้เป็น 11 ลำ จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 ลำ รองรับผู้โดยสารได้ 5 ล้านคน จากเดิม 2 ล้านคน

      - ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเสนอผลการศึกษาโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่อยู่อาศัยแบบเสรี (โซลาร์รูฟท็อปเสรี) จากนั้น พพ.จะสรุปเพื่อนำเสนอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาในระดับนโยบายภายในเดือน ก.ย.ต่อไป

       - คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเสนอวาระสำคัญให้รัฐบาลพิจารณาการดำเนินการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ให้บูรณาการสอดรับกันอย่างเป็นระบบ เนื่องจากขณะนี้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานแต่ละประเภท เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง การสร้างถนน การขยายพื้นที่สนามบิน การสร้างท่าเรือ มีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ จึงต้องการให้มาหารือออกแบบจุดเชื่อมต่อระหว่างกันก่อนการก่อสร้าง เพราะเกรงว่า จะเกิดปัญหาลักษณะเดียวกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง ระหว่างสถานีเตาปูน และสถานีบางซื่ออีก

*หุ้นเด่นวันนี้

        - CPNRF (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 23 บาท มีมุมมองเชิงบวกต่อการแปลงสภาพจาก Property Fund เป็น REIT ซึ่งจะมีการซื้อสินทรัพย์เพิ่มใน 4Q60 สนับสนุนกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น และคาดสามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8.4-9.3% ในปี 2561-2562

       - BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16.50  บาท เป็น Top Pick ของกลุ่ม จาก Valuation ที่น่าสนใจ PEG 2.5 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 3-4 เท่า และสร้าง ROE ได้ 14% มากว่ากลุ่มที่ 11% ถือเป็นหุ้นที่เหมาะเป็นแหล่งพักเงินในช่วงตลาดไร้ทิศทาง เพราะมีค่าเบต้า 0.80 เท่า ต่ำกกว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ 0.9 เท่า ขณะที่ กำไรสุทธิ 2H60 คาดโตในอัตราเร่งทั้ง H-H และ Y-Y จาก High Season และได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มเงินประกันสังคม

       - TKN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 24 บาท แนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรใน 2H60 จะเร่งตัวขึ้น จากกำลังการผลิตที่เพิ่มและต้นทุนสาหร่ายที่เริ่มนิ่ง  ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-2561 ที่ +21% Y-Y และ +25% Y-Y ตามลำดับ  แต่ปรับ PE กลับสู่ระดับ 35 เท่า จากก่อนหน้าที่ปรับลงเป็น 33 เท่า ภายหลังสถานการณ์ของบริษัทเริ่มดูดีขึ้น

       - TOP (ไอร่า) เป้า 108 บาท ค่าการกลั่นตลาดสิงคโปร์ ล่าสุด 8.67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นระดับสูงสุด YTD คาดผลการดำเนินงาน 3Q/60 จะออกมาโดดเด่น จากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก  และคาดจะไม่มีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและน้ำมันหล่อลื่นคาดทรงตัวจาก 2Q/60 นอกจากนี้คาดกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเข้ามาอย่างสม่ำเสมออีก ประมาณ 2,100 ล้านบาทต่อปี และโครงการเพิ่มกำไรของ TOP ในช่วง 1H/60 เห็นผลชัดเจน สามารถเพิ่มกำไร ประมาณ 2,129 ล้านบาท หลัก ๆ จากการใช้น้ำมันดิบชนิดใหม่ ๆ ในการกลั่น รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการการกลั่น (LP Upgrading program)

ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ จากแรงซื้อเก็งกำไร

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ โดยส่วนใหญ่ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,509.53 จุด เพิ่มขึ้น 39.12 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,274.58 จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,100.63 จุด เพิ่มขึ้น 53.06 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,316.09 จุด ลดลง 5.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,363.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,254.88 จุด เพิ่มขึ้น 2.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,774.72 จุด ลดลง 1.50 จุด

       อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังมีความวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการเมืองสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศยุบสภาที่ปรึกษา 2 คณะ ซึ่งประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาการอุตสาหกรรมและสภายุทธศาสตร์และนโยบาย

      ขณะเดียวกัน นายสตีฟ แบนนอน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาว ก็ได้ลงจากตำแหน่ง โดยนายแบนนอนถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำนโยบายทั้งในและต่างประเทศสำหรับฝ่ายบริหารของปธน.ทรัมป์ แต่ในช่วงที่ผ่านมามีรายงานว่า นายแบนนอนมีจุดยืนที่ขัดแย้งกับนายแกรี โคห์น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว และพลโท เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในคณะที่ปรึกษาของปธน.ทรัมป์

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงเทขายในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 63.89 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) ด้วยแรงฉุดรั้งจากหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ปรับตัวลงกันถ้วนหนั สืบเนื่องจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 100 คน

      ดัชนี FTSE 100 ลดลง 63.89 จุด หรือ -0.86% ปิดที่ 7,323.98 จุด

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวลงกันถ้วนหน้า สืบเนื่องจากเหตุการณ์โจมตีสองครั้งในเมืองบาร์เซโลนาและเมืองแคมบริลส์ในแคว้นกาตาลุญญา โดยผู้ก่อการร้ายได้ขับรถตู้พุ่งชนฝูงชนในย่านลาส รัมบลาส ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในเมืองบาร์เซโลนาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ผู้ก่อการร้าย 5 คน ได้ใช้ยานพาหนะเป็นอาวุธอีกครั้ง โดยการขับพุ่งชนคนในบริเวณชายหาดเมืองแคมบริลส์ ก่อนที่ตำรวจสเปนจะทำการวิสามัญฆาตกรรมผู้ก่อเหตุทั้ง 5 คน

     หุ้นสายการบินอีซีเจ็ท ขยับลง 0.9% หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล คอนโซลิเดเต็ด แอร์ไลน์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ลดลง 2% หุ้นไรอันแอร์ ร่วง  2% ขณะที่หุ้นอินเตอร์คอนติเนนทัล โฮเทลส์ กรุ๊ป ลดลง 1.6% และหุ้นทียูไอ ผู้ให้บริการท่องเที่ยวระดับชั้นนำ ลดลง 0.7%

       หุ้นกลุ่มผู้ผลิตทองคำปรับตัวขึ้น ด้วยแรงหนุนของปริมาณอุปสงค์ในทองคำที่เพิ่มขึ้นจากกระแสวิตกภัยก่อการร้าย โดยหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส เพิ่มขึ้น 1.2%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง วิตกเหตุก่อการร้ายใน บาร์เซโลนา

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) จากแรงฉุดของหุ้นกลุ่มสายการบินยุโรปที่ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า สืบเนื่องจากความวิตกกังวลในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ประเทศสเปน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน และบาดเจ็บกว่า 100 คน นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง -2.67 จุด หรือ -0.71% ปิดที่ 374.20 จุด

       ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,114.15 จุด ลดลง 32.70 จุด หรือ -0.64% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,165.19 จุด ลดลง 38.27 จุด หรือ -0.31%  ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,323.98 จุด ลดลง 63.89 จุด หรือ -0.86%

       ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากกระแสความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์โจมตีเมืองบาร์เซโลนาและแคมบริลส์ในแคว้นกาตาลุญญาของสเปนเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน และบาดเจ็บกว่า 100 คน ขณะที่ตำรวจสเปนได้วิสามัญฆาตกรรมผู้ก่อเหตุ 5 ราย โดยเหตุการณ์ก่อการร้ายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มสายการบินทั่วยุโรป โดยหุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 1.6% หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ ลดลง 2% หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล คอนโซลิเดเต็ด แอร์ไลน์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ลดลง 2% และหุ้นอีซีเจ็ท ขยับลง 0.9%

       นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากกระแสข่าวที่ว่า นายแกรี โคห์น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวของสหรัฐ เตรียมจะก้าวลงจากตำแหน่ง ซึ่งหากเขาลาออกจริงย่อมผลกระทบต่อการผลักดันนโยบายปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวในภายหลัง โดยยืนยันว่า นายโคห์นจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป ถึงแม้จะมีรายงานว่า นายโคห์นเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่พอใจท่าทีของทรัมป์จากเหตุการณ์ความรุนแรงในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

       นักวิเคราะห์จากอินเตอร์แอคทีฟ อินเวสเตอร์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างก็ผิดหวังที่ทรัมป์ยังไม่สามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนปฏิรูปต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐมาแล้ว 7 เดือน ขณะที่คณะผู้บริหารในทำเนียบขาวของทรัมป์ก็เผชิญกับความแตกแยกภายในกันมากขึ้น

        หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นสตาดา อาร์ซไนมิตเทล ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 13% ขานรับข่าวเบน แคปิตอล และซินเวน กรุ๊ป ได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นในจำนวนที่เพียงพอต่อการเดินหน้าแผนเข้าซื้อกิจการสตาดา อาร์ซไนมิตเทล

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 76.22 จุด จากปัจจัยความไม่แน่นอนในสหรัฐ, แรงฉุดของหุ้นไนกี้

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อวันศุกร์ (18 ส.ค.) ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง โดยตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนภายในทำเนียบขาวของสหรัฐ ภายหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศยุบสภาที่ปรึกษา 2 คณะ นอกจากนี้ดัชนีดาวโจนส์ยังถูกฉุดรั้งจากแรงเทขายในหุ้นไนกี้ อิงค์ หลังฟุต ล็อกเกอร์ บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำเปิดเผยผลกำไรและยอดขายที่ต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของตลาด

        ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,674.51 จุด ลดลง 76.22 จุด หรือ -0.35% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,216.53 จุด ลดลง 5.39 จุด หรือ -0.09% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,425.55 จุด ลดลง 4.46 จุด หรือ -0.18%

        ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงจากแรงฉุดของหุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่างไนกี้ อิงค์ ซึ่งร่วงลง 4.4% นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากหุ้นซิสโก ซิสเต็ม และโฮม ดีโปท์ ซึ่งร่วงลง 2.2% และ 1.5% ตามลำดับเมื่อคืนนี้

       หุ้นไนกี้ร่วงลงจากรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ที่น่าผิดหวังของฟุต ล็อกเกอร์ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิที่ระดับ 51 ล้านดอลลาร์ หรือ 39 เซนต์/หุ้นในไตรมาสดังกล่าว ลดลงจากระดับ 127 ล้านดอลลาร์ หรือ 94 เซนต์/หุ้น ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายในไตรมาส 2 หดตัวลง 4.4% สู่ระดับ 1.701 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.801 พันล้านดอลลาร์

        หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ แบรนด์อุปกรณ์กีฬาชั้นนำ และเป็นคู่แข่งของไนกี้ ร่วงลง 3.9% จากรายงานของฟุต ล็อกเกอร์เช่นกัน

        นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากกระแสความวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนภายในคณะผู้บริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังจากทรัมป์ได้ประกาศยุบสภาที่ปรึกษา 2 คณะ ซึ่งประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาการอุตสาหกรรมและสภายุทธศาสตร์และนโยบาย สืบเนื่องจากผู้นำภาคธุรกิจหลายคนได้ทยอยลาออกจากการเป็นสมาชิกเพื่อประท้วงท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย

       นักลงทุนกำลังจับตาความเคลื่อนไหวภายในทำเนียบขาวอย่างใกล้ชิด หลังทำเนียบขาวแถลงยืนยันเมื่อวานนี้ว่า นายสตีฟ แบนนอน นักวางกลยุทธ์ประจำทำเนียบขาว ได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยนายแบนนอนถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำนโยบายทั้งในและต่างประเทศสำหรับฝ่ายบริหารของปธน.ทรัมป์ แต่ในช่วงที่ผ่านมามีรายงานว่า นายแบนนอนมีจุดยืนที่ขัดแย้งกับนายแกรี โคห์น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว และพลโท เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในคณะที่ปรึกษาของปธน.ทรัมป์

       นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกว่า คณะบริหารของทรัมป์จะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาใช้หาเสียงช่วงเลือกตั้ง ได้เป็นผลสำเร็จหรือไม่

       นอกจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในสหรัฐแล้ว ตลาดยังมีความวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตีเมืองบาร์เซโลนาและแคมบริลส์ในแคว้นกาตาลุญญาของสเปนเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน และบาดเจ็บกว่า 100 คน

     สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 97.6 ในช่วงครึ่งแรกของเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 94.0 หลังจากอยู่ที่ระดับ 93.1 ในเดือนก.ค.

     นักลงทุนจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟด ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 24-26 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "Fostering a Dynamic Global Economy"

      อินโฟเควสท์ 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!