WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

43ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวลงตามโมเมนตัม ตปท.เป็นลบหลังสหรัฐฯขู่ตอบโต้เกาหลีเหนือเพิ่ม

       นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นไป เนื่องจากโมเมนตัมตลาดต่างประเทศเป็นลบ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างติดลบกันทั่วหน้า เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวลง หลังจากที่สหรัฐฯออกมาตอบโต้ขู่เกาหลีเหนือมากขึ้น ทำให้คนเห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ปรับตัวขึ้นไปมากแล้วด้วยทำให้ตลาดฯหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวลง

       นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็แข็งค่าขึ้นหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี อย่างไรก็ดี บ้านเราให้ติดตามทิศทาง Fund Flow เพราะนักลงทุนต่างชาติขายมากในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งตลาดฯยังไม่มีประเด็นบวกเข้ามาด้วย มีเพียงข่าวว่าจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวรอบใหม่ ซึ่งครั้งนี้เห็นว่าจะรวมสายการบินด้วย

       ทั้งนี้ แนะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวไปก่อน พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,585-1,590 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

         - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 ส.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,085.34 จุด ลดลง 33.08 จุด (-0.15%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,370.46 จุด ลดลง 13.31 จุด (-0.21%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,474.92 จุด ลดลง 5.99 จุด (-0.24%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้  ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 67.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 94.83 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 45.46 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 15.03 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.35 จุด

ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ส.ค.60) 1,577.44 จุด เพิ่มขึ้น 3.77 จุด (+0.24%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 877.65 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ส.ค.60   

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 ส.ค.60) ปิดที่ 49.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 22 เซนต์ หรือ 0.5%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 ส.ค.60) ที่ 7.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 33.28/30 ทิศทางอ่อนค่าหลังตัวเลขข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ หนุนดอลล์แข็ง

                - ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยหลังการประชุมแนวทางการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศว่า ททท. เตรียมหารือกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอที่ประชุม ครม. ใช้มาตรการภาษี นำค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าซื้อของที่ระลึกร้านค้าชุมชน ค่าบริการบริษัทนำเที่ยว นำมาลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในโครงการเที่ยวทั่วไทยไปถึงถิ่น คาดว่า เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้

                - สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มองกำไร บจ.ปีนี้เติบโต 4% ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนนายกสมาคมโบรกฯ เชื่อต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยไตรมาส 4 หลังหุ้นไทยราคาถูกประเมินกำไรปีหน้าขยับ 10% ส่วนดัชนีเชื่อมั่นเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 3.9%

                - 'อุตตม' สั่งยกร่างแผนขับเคลื่อนคลัสเตอร์อุตฯเป้าหมายรัฐบาลระยะ 2 ยอมรับแผนปฏิบัติแรกสตาร์ตอัพยังกระจัดกระจาย ไม่ตอบโจทย์ เตรียมชงโรดแมป 4 อุตฯ เป้าหมายเข้า ครม.ไม่เกิน ส.ค.นี้ เตรียมหามืออาชีพพร้อมตั้งทีมรับผิดชอบ ผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม

                - ม.หอการค้าไทยประเมินน้ำท่วมอีสาน-เหนือเสียหาย 9,574 ล้านบาท กระทบจีดีพีแค่ 0.06% ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค. ทุกรายการลดลง 3 เดือนติด ลงมาอยู่ระดับต่ำสุดรอบ 7 เดือน จี้รัฐเร่งกระตุ้นใช้จ่าย ลงทุนต่อเนื่อง ด้านกรุงไทยเผยไตรมาส 2 นักธุรกิจเชื่อมั่นแผ่วลง เหตุบาทแข็ง-จัดระเบียบต่างด้าว

                - ครม.เห็นชอบเยียวยาเกษตรกรน้ำท่วม 5.6 แสนครัวเรือน ครัวเรือนละ 3,000 บาท ขณะหอการค้าไทยประเมินความเสียหายเหนือ-อีสาน 9.57 พันล้านบาท กระทบจีดีพีแค่ 0.064% ชี้คนไทยกังวลน้ำท่วมเศรษฐกิจไม่ฟื้นทำความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค.ลด

*หุ้นเด่นวันนี้

                - INGRS (บมจ.อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์)) เริ่มเทรดวันนี้วันแรก สังกัดกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเสนอขาย IPO ที่ 1.33 บาท/หุ้น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อสะสม" ให้ราคาเป้าหมาย 1.90 บาท ประเมินราคาเป้าหมายปี 61/62 ด้วย PER 12 เท่า เทียบเท่ากับหุ้นในกลุ่มยานยนต์ใน Coverage (STANLY, AH และ SAT) ในขณะที่คาดกำไรปี 61/62 ขยายตัว 30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 18.0% และคาดเงินปันผล 3.7% พร้อมคาดรายได้เติบโตเฉลี่ย 3 ปี CAGR ที่ 11.2% และคาดกำไรปี 61/62 จะเติบโตเด่นถึง 30% จากออเดอร์ค่ายใหญ่อย่าง Proton และ Perodua บริษัทฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายโครงสร้างยานยนต์ กรอบประตู ท่อรวมไอเสีย และชิ้นส่วนตัดแต่งให้กับค่ายรถชั้นนำของโลก (OEMs) ผ่าน มาเลเซีย ไทย อินโดเนเซีย และอินเดีย

                - QH (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 3.40 บาท Q2/60 รายได้รวม 4.41 พันล้านบาท สูงขึ้น 28% QoQ แต่ลดลง 19.5% YoY และกำไรสุทธิที่ 776 ล้านบาท สูงขึ้น 19% QoQ แต่ลดลง 13% YoY เชื่อผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน Q1/60 และเชื่อ H2/60 ยอด Presales และยอดโอนจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการเปิดโครงการใหม่ โดย Q3/60 จะรับรู้กำไรพิเศษจากดีล LHBANK โดยที่ไม่มีความเป็นห่วงด้านกำไร เนื่องจาก QH สามารถจัดการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                - MTLS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 39 บาท กำไรสุทธิ Q2/60 แข็งแกร่งตามคาดที่ 571 ลบ. +6.5% Q-Q, +90% Y-Y รายได้รวมโดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยโตแข็งแกร่ง สอดคล้องยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ Loan spread และ Loan per branch กลับมาเติบโต หลังชะลอตัวลงในไตรมาสก่อน ส่วน NPL ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.18% แนวโน้มกำไร H2/60 ดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นฤดูกาลของสินเชื่อและคาดค่าใช้จ่ายเปิดสาขาชะลอลง

                - TRC (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 1.53 บาท รายงานกำไร Q2/60 ที่ 71 ล้านบาท +270%YoY และ +275%QoQ แม้ว่ารายได้จะปรับตัวลงเกือบครึ่งหนึ่งสู่ระดับ 436 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 38% จากระดับปกติที่ 20% จากคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าที่ตั้งงบไว้ตอนเริ่มก่อสร้างส่งผลให้บันทึกกำไรเข้ามาเพิ่มเติม และมีประเด็นบวกเตรียมเข้าร่วมงานประมูลงานท่อก๊าซ PTT เส้นที่ 5 พร้อมพันธมิตรมูลค่าราว 9.6 หมื่นล้านบาทคาดรู้ผลเดือนต.ค.-พ.ย. ส่วนโครงการ APOT แม้ว่าก.คลังจะเพิ่มทุนเข้ามาแต่ยังมีกระบวนการใส่เงินเพิ่มเติมจากผู้ถือหุ้นและตัวแทนคลังทำให้การเซ็นสัญญาก่อสร้างล่าช้าออกไปโดยคาดว่าจะเซ็นสัญญากับ TRC ได้ภายใน Q4/60

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ นักลงทุนวิตกการเมืองสหรัฐ-เกาหลีเหนือ

            ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ออกมาเตือนว่าจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการที่รุนแรง หากเกาหลีเหนือยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,928.96 จุด ลดลง 67.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,760.08 จุด ลดลง 94.83 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,523.51 จุด ลดลง 45.46 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,379.70 จุด ลดลง 15.03 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,777.30 จุด ลดลง 4.35 จุด ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดทำการเนื่องในวันชาติ

                เมื่อวานนี้ ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ว่า "สหรัฐจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน หากเกาหลีเหนือยังเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ"

                คำเตือนดังกล่าวของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากวอชิงตัน โพสต์รายงานว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการย่อขนาดหัวรบนิวเคลียร์ให้เล็กลงจนสามารถบรรจุในขีปนาวุธได้ นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังท้าทายสหรัฐด้วยการประกาศความพร้อมที่จะ "ให้บทเรียนแก่สหรัฐ" ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หากสหรัฐใช้มาตรการทางทหารกับเกาหลีเหนือ

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 10.79 จุด จากอานิสงส์เงินปอนด์อ่อนค่า

            ดัชนี ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำสถิติที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) ด้วยอานิสงส์จากการที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ภายหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง

                ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 10.79 จุด หรือ +0.14% ปิดที่ 7,542.73 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. จากอานิสงส์ของสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐ พุ่งขึ้น 8% สู่ระดับ 6.2 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000 เนื่องจากการจ้างงานในภาคก่อสร้าง ภาคการผลิต และภาคการเงิน ปรับตัวสูงขึ้น

                การอ่อนค่าของเงินปอนด์ ได้ช่วยกระตุ้นผลกำไรของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดยค่าเงินปอนด์ร่วงลง -0.1078% สู่ระดับ 1.2966 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ จากระดับ 1.3036 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันจันทร์

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ตามทิศทางของราคาแร่เหล็ก ถึงแม้ในระหว่างวัน หุ้นกลุ่มเหมืองแร่จะถูกกดดันจากรายงานยอดส่งออกและนำเข้าของจีนที่ชะลอตัวลงก็ตาม โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับขึ้น 0.1%

                หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้นหลังร่วงลงในระหว่างวันจากแรงกดดันของรายงานสมาคมผู้ค้าปลีกอังกฤษ (British Retail Consortium - BRC) ซึ่งระบุว่า ยอดขายปลีกของสหราชอาณาจักรขยายตัวเพียง 0.9% ในเดือนก.ค. ชะลอตัวลงจากระดับ 1.1% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

                หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ เพิ่มขึ้น 1% และหุ้นคิงฟิชเชอร์ เพิ่มขึ้น 1.3%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก หลังยูโรอ่อนค่าหนุนคาดการณ์กำไรบริษัทส่งออกสดใส

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออกยุโรป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการค้าที่ย่ำแย่ของเยอรมนีได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดในระหว่างวัน

                ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 382.65 จุด

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,292.05 จุด เพิ่มขึ้น 34.88 จุด หรือ +0.28% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,218.89 จุด เพิ่มขึ้น 11.00 จุด หรือ +0.21% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,542.73 จุด เพิ่มขึ้น 10.79 จุด หรือ +0.14%

                ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลกำไรของบริษัทส่งออกยุโรป โดยยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.1758 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐ พุ่งขึ้น 8% สู่ระดับ 6.2 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543

                อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการค้าที่ซบเซาของเยอรมนีได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดในระหว่างวัน โดยสำนักงานสถิติของประเทศเยอรมนี (FSO) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย. ร่วงลง 2.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 2 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2558 ขณะที่ยอดนำเข้าเดือนมิ.ย. ร่วงลง 4.5% ซึ่งลดลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2552

                หุ้นแพนโดรา ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับ ร่วงลง 13.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิลดลง 10%

                หุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล ดิ่งลง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดากรณ์

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวผันผวน โดยหุ้นริโอทินโต ลดลง 0.3% หุ้นอันโตฟากัสตา ขยับขึ้น 0.6% และหุ้นอาร์เซลอร์มิตตัล ขยับขึ้น 0.4%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 33.08 จุด วิตกข่าวทรัมป์ขู่โจมตีเกาหลีเหนือ

            ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ออกมาเตือนว่าจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการที่รุนแรง หากเกาหลีเหนือยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,085.34 จุด ลดลง 33.08 จุด หรือ -0.15% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,370.46 จุด ลดลง 13.31 จุด หรือ -0.21% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,474.92 จุด ลดลง 5.99 จุด หรือ -0.24%

                ดัชนี ดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวลง หลังจากปธน.ทรัมป์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อวานนี้ว่า "สหรัฐจะตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยวิธีการรุนแรงอย่างที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน หากเกาหลีเหนือยังเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ"

                ทั้งนี้ คำเตือนดังกล่าวของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากวอชิงตัน โพสต์รายงานว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการย่อขนาดหัวรบนิวเคลียร์ให้เล็กลงจนสามารถบรรจุในขีปนาวุธได้ นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังท้าทายสหรัฐด้วยการประกาศความพร้อมที่จะ "ให้บทเรียนแก่สหรัฐ" ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หากสหรัฐใช้มาตรการทางทหารกับเกาหลีเหนือ

                นักวิเคราะห์จากบริษัทโอนีล ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า ถ้อยแถลงของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนตอบโต้ที่รุนแรงต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และได้ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบ แม้ว่าในช่วงแรกนั้น ตลาดจะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินก็ตาม

                หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวผันผวน หลังจากที่ดีดตัวขึ้นในช่วงแรก โดยหุ้นฟิฟธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป ปรับตัวขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลงกว่า 1% และหุ้นแคปิตอล วัน ขยับขึ้น 0.4%

                หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

                หุ้นดีน ฟู้ดส์ ทรุดฮวบลงเกือบ 21% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่หุ้นซีเวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ร่วงลง 6.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่เช่นกัน

                อย่างไรก็ตาม หุ้นไมเคิล คอร์ส ทะยานขึ้นเกือบ 22% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิลดลง 15% สู่ระดับ 125.5 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีงบการเงินของบริษัท ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 1 ก.ค. หรืออยู่ที่ระดับ 80 เซนต์/หุ้น จากระดับ 147.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 83 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กำไรของบริษัทออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 62 เซนต์/หุ้นในไตรมาสแรก

                หุ้นราล์ฟ ลอเรน ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก พุ่งขึ้น 13%  หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ารายได้ลดลงสู่ระดับ 1.35 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีงบการเงินของบริษัทที่สิ้นสุดวันที่ 1 ก.ค. จากระดับ 1.55 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ตัวเลขรายได้ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 1.34 พันล้านดอลลาร์

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน จากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐ พุ่งขึ้น 8% สู่ระดับ 6.2 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000 เนื่องจากการจ้างงานในภาคก่อสร้าง ภาคการผลิต และภาคการเงิน ปรับตัวสูงขึ้น

                นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้นไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!