WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

40ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ทรงตัว เล็งเผชิญงบฯกลุ่มพลังงานอ่อนแอ,จับตาการประชุม BoE วันนี้

    นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งในลักษณะทรงตัว แม้ว่าปัจจัยในสหรัฐฯจะดีในช่วงนี้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่ออกมาดี แต่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็ยังไม่ได้ดีมาก ทำให้เงินเฟ้ออาจจะไม่ปรับตัวขึ้นเร็ว ทำให้ยังไม่กระทบต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดังนั้นจึงเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ Outperform กว่าตลาดอื่น

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ ภายหลังจากที่เงินเยนในวันนี้ดูจะแข็งค่าขึ้น พร้อมให้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้ (3 ส.ค.) โดยตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

       ส่วนตลาดบ้านเราอาจต้องเผชิญกับผลประกอบการไตรมาส 2/60 ของกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะออกมาอ่อนแอ โดยให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีไว้ที่ 1,575-1,587 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 ส.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,016.24 จุด เพิ่มขึ้น 52.32 จุด (+0.24%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,362.65 จุด ลดลง 0.29 จุด (-0.00%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,477.57 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด (+0.05%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 14.04 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 4.42 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 55.17 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 13.13 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 73.87 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเพิ่มขึ้น 0.20 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.07 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ส.ค.60)  1,580.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.09 จุด (+0.26%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,247.11 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ส.ค.60

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 ส.ค.60) ปิดที่ 49.59 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.9%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ส.ค.60) ที่ 7.81 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 33.28 ทรงตัวจากวานนี้ ยังไร้ปัจจัยใหม่ มองกรอบเคลื่อนไหววันนี้ 33.25-33.35

       - ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ในฐานะประธานวิจัยคณะวิจัยเศรษฐกิจ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (เจซีซี) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2560 บริษัทสมาชิกหอการค้าญี่ปุ่นต่างระบุว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 26 ถือว่าสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา

       - ที่ประชุม กบง.เห็นชอบให้ราคาอ้างอิงของราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือน ส.ค. 2560 ในระดับเดิมที่ 20.49 บาท/กิโลกรัม (กก.) แม้ราคาตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 85 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปชดเชย 2.63 บาท/กก. จากเดิมที่ชดเชยอยู่ที่ 12 สต./กก. ส่งผลให้มีการชดเชยที่ 2.75 บาท/กก. ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายสุทธิที่ 511 ล้านบาท/เดือน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มีรายจ่ายสุทธิ 40 ล้านบาท/เดือน ขณะที่บัญชีกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 ก.ค. 2560 อยู่ที่ 3.94 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีแอลพีจี 6.37 พันล้านบาท และบัญชีน้ำมันสำเร็จรูป 3.3 หมื่นล้านบาท

        - กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเจรจาขอซื้อไฟฟ้าจากประเทศกัมพูชาใน 2 แหล่ง ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัม 30 เมกะวัตต์ คิดเป็น 0.1% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 10 บาท/หน่วย ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูง แต่ไทยจะได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ขณะเดียวกันยังมีการเจรจาซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเกาะกงด้วย ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดว่ามีความจำเป็นจะนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะใดคาดจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาภายในปลายปีนี้

       - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบน้ำท่วมอีสานส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสูญเสียกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1% ของจีดีพี ภาคเกษตรหนักสุด 1.2 หมื่นล้านบาท ระบุแม้กระทบต่อจีดีพีไม่มาก แต่ต้องติดตามสภาวะแวดล้อมในช่วงที่เหลือของปีอย่างต่อเนื่อง และยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 3.4% ด้านแบงก์ออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง

      - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดุลบัญชีทุนเคลื่อนย้าย ล่าสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ หรือ ต้นปีถึงปัจจุบันว่า เงินทุนไหลออกสุทธิ 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ  4.5 แสนล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ 33.30 บาท/ดอลลาร์ แบ่งเป็นไตรมาสแรกไหลออกสุทธิ 6,785 ล้านดอลลาร์ และไตรมาส 2 ไหลออกสุทธิ 6,893 ล้านดอลลาร์ ซึ่งล่าสุดเฉพาะเดือน มิ.ย. ไหลออกสุทธิ 3,339 ล้านดอลลาร์

*หุ้นเด่นวันนี้

        - SC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 3.50 บาท มียอดขาย 2Q60 ที่ 4,073 ล้านบาท (+19%QoQ และ +59%YoY) คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปี โดยคาดยอดขายในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสถึงเป้าได้ไม่ยากจากการเปิดโครงการแนวราบเชิงรุก 11 โครงการ และการเปิดขาย เฟส 2 ของโครงการ 28 Chidlom ใน 2H60 พร้อมคาดกำไรสุทธิ 2Q60 อ่อนตัว 69%YoY จากฐานที่สูง แต่คาดเติบโตได้ 270%QoQ จากการส่งมอบโครงการคอนโดใหม่ และแนวโน้มยอดโอนโครงการแนวราบที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดกำไร 1H60 คิดเป็นเพียง 21% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 60 หลังยอดโอนโครงการแนวราบยังทำได้ช้ากว่าคาดมาก ทำให้ตัดสินใจปรับลดประมาณการทั้งปี 60 ลง 12% เป็น 1,673 ล้านบาท (-15%) แต่คาดจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 61

      - SWC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14.70 บาท คาดกำไร 2Q60 ที่ 50 ล้านบาท +11% Q-Q, +34% Y-Y จาก High Season ซึ่งปีนี้ได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากฤดูฝนที่มาเร็ว และต้นทุนที่ลดลงจากทั้งการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่วนการทำเทนเดอร์ของกลุ่ม TOA โดยมองบวกจาก Synergy ในการเพิ่มช่องทางจำหน่าย และยังไม่น่าทำให้ SWC ต้องออกจากตลาด เพราะมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ต้องการขายทันทีเพียง 28.93% รวมกับของ TOA เดิมแล้วจะเป็น 64.93% อีกทั้งราคาในกระดานก็ใกล้ราคาเสนอซื้อที่ 13.25 บาท

      - IRPC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "เก็งกำไร"เป้า 6 บาท จะประกาศงบ 2Q60 ในวันนี้ คาดกำไรจากการดำเนินงานที่ 2,006 ล้านบาท (+113%QoQ) เป็นผลมาจากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่หลังหยุดซ่อมบำรุงโดยปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพิ่ม 66.8% QoQ เป็น 194 KBD แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเด่นต่อ จากเปิดดำเนินงานของโครงการ PP ส่วนต่อขยาย และการปรับปรุง UHV รวมถึงคาดว่าผลิตภัณฑ์หลักของ IRPC คือ สไตรีนิค และ PP (70%) จะแข็งแกร่งกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ ขณะนลท.จับตา PMI ภาคบริการจีน,ตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

        ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จีนและสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ โดยในช่วงเช้าวันนี้ มาร์กิตร่วมกับไฉซินจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ค. ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ในวันพรุ่งนี้

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,066.00 จุด ลดลง 14.04 จุด, -0.07% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,423.21 จุด ลดลง 4.42 จุด, -0.18% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,464.10 จุด ลดลง 55.17 จุด, -0.52% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,335.67 จุด ลดลง 13.13 จุด, -0.39% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,533.51 จุด ลดลง 73.87 จุด, -0.27% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,770.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.20 จุด, +0.01% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,279.99 จุด ลดลง 5.07 จุด, -0.15%

       นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันพรุ่งนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 180,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนก.ค.จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนมิ.ย.

       ทั้งนี้ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรถือเป็นหนึ่งในข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยแถลงการณ์ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า เฟดกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปและการปรับลดงบดุลบัญชีในปีนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 12.23 จุด จากแรงเทขายหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด-ริโอทินโต

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) จากแรงกดดันของผลประกอบการที่น่าผิดหวังของริโอทินโต บริษัทเหมืองแร่ข้ามชาติรายใหญ่ และแรงเทขายในหุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด หลังธนาคารยักษ์ใหญ่ดังกล่าวเปิดเผยว่ายังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้

       ดัชนี FTSE 100 ลดลง 12.23 จุด หรือ -0.16% ปิดที่ 7,411.43 จุด

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 6.1% หลังทางธนาคารเปิดเผยว่ายังไม่พร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอีกครั้ง แต่จะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในช่วงสิ้นปีนี้

      หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ธนาคารคู่แข่งของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ขยับลง 0.1% ภายหลังจากทางธนาคารเปิดเผยแผนการที่จะซื้อหุ้นกลับคืนวงเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ หลังธนาคารรายงานว่ามีกำไรพุ่งขึ้น 57% ในไตรมาส 2/2560

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า โดยหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 2.8% ภายหลังจากผู้ผลิตแร่เหล็กรายใหญ่ดังกล่าวรายงานผลกำไรเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะทำกำไรประมาณ 4.19 พันล้านดอลลาร์

       หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ลดลง 1.1% หุ้นเกลนคอร์ ลดลง 1.2% และหุ้นแอนโตฟากัสต้า ผู้ผลิตแร่ทองแดง ลดลง 1.4%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงขายหุ้นแบงก์ ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารโซซิเอเต้ เจเนอราล (ซอคเจน) ธนาคารรายใหญ่ของฝรั่งเศส เปิดเผยกำไรสุทธิร่วงลงอย่างหนักในไตรมาส 2

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 378.63 จุด

       ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,181.48 จุด ลดลง 69.81 จุด หรือ -0.57% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,107.25 จุด ลดลง 19.78 จุด, -0.39% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,411.43 จุด ลดลง 12.23 จุด, -0.16%

       นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นซอคเจนร่วงลง 4% ธนาคารโซซิเอเต้ เจเนอราล (ซอคเจน) ธนาคารรายใหญ่ของฝรั่งเศส รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2560 โดยระบุว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิลดลง 28% สู่ระดับ 1.06 พันล้านยูโร (ราว 1.25 พันล้านดอลลาร์) จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 1.46 พันล้านยูโร

        ส่วนรายได้ลดลง 26% สู่ระดับ 5.20 พันล้านยูโร เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.39 พันล้านยูโร

        ทั้งนี้ หุ้นซอคเจน ดิ่งลง 4% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ร่วงลง 6.1% หุ้นธนาคารบังโค ซานตานเดร์ ดิ่งลง 1.1% และหุ้นดอยซ์แบงก์ ร่วงลง 1.1%

         นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง หลังจากบริษัทริโอทินโตเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 2.8% หุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 1.2% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวลง 1.1%

       อย่างไรก็ตาม หุ้นแอปเปิลที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี พุ่งขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 อยู่ที่ 8.72 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.67 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงินที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.42 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 1.57 ดอลลาร์/หุ้น

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 52.32 จุด รับผลประกอบการ แอปเปิล

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) โดยดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 22,000 จุดเป็นครั้งแรก เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทแอปเปิล อิงค์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานของออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ที่บ่งชี้ว่า ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐยังคงมีการขยายตัวได้ดีในเดือนก.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันพรุ่งนี้อย่างใกล้ชิด

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,016.24 จุด เพิ่มขึ้น 52.32 จุด หรือ +0.24% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,362.65 จุด ลดลง 0.29 จุด หรือ -0.00% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,477.57 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด หรือ +0.05%

       ดัชนี ดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 7 และล่าสุดทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 22,000 จุดเป็นครั้งแรก ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทแอปเปิล อิงค์ โดยหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 4.7% และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 อยู่ที่ 8.72 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.67 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงินที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.42 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 1.57 ดอลลาร์/หุ้น

       ส่วนรายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 4.541 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงินที่แล้ว ที่ระดับ 4.236 หมื่นล้านดอลลาร์

       ทั้งนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของแอปเปิลในไตรมาส 3 มาจากยอดขายไอโฟนซึ่งอยู่ที่ 41.03 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงินที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 40.4 ล้านเครื่อง และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

       นอกจากนี้ ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายอื่นๆ ยังช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นด้วย โดยบริษัทไทม์ วอร์เนอร์ อิงค์ เปิดเผยตัวเลขกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.33 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้ที่ระดับ 7.33 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการของไทม์ วอร์เนอรได้รับปัจจัยบวกจากความสำเร็จของภาพยนตร์ "Wonder Woman"

        ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 178,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นของภาคบริการ

        อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสื่อสารร่วงลง 1.1% ขณะที่หุ้นเอทีแอนด์ที ดิ่งลง 1.6% และหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น ร่วงลง 1.3%

       นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันพรุ่งนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 180,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนก.ค.จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนมิ.ย.

         ทั้งนี้ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรถือเป็นหนึ่งในข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยแถลงการณ์ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า เฟดกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปและการปรับลดงบดุลบัญชีในปีนี้

      นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ค. จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย., ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. และดุลการค้าเดือนมิ.ย.

             อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!