WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

35ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมตามภูมิภาคหลังปัจจัยนอกปท.ไม่แน่นอนสูงขึ้น,จับตาประชุม ECB

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบราว 0.1% เนื่องจากนักลงทุนเพิ่มมีความระมัดระวังการลงทุนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น

     ทั้งนี้ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะมีการส่งสัญญาณการปรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และการประชุมถัดไปในช่วงเดือน ก.ย.ก็น่าจะมีการปรับลดขนาดมาตการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อาจส่งผลให้ Bond Yield โลกสูงขึ้นและกดดันตลาดหุ้นโลก นอกจากนี้วุฒิสภาสหรัฐเลื่อนการพิจารณากฎหมายประกันสุขภาพออกไปอีก จึงเพิ่มความกังวลในความไม่แน่นอนของนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

     ส่วนปัจจัยในประเทศก็รอดูการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/60 ของกลุ่มแบงก์ พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,564 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580-1,582 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 ก.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,629.72 จุด ลดลง 8.02 จุด (-0.04%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,314.43 จุด เพิ่มขึ้น 1.97 จุด (+0.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,459.14 จุด ลดลง 0.13 จุด (-0.01%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้  ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 44.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 16.73 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 18.94 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 10.07 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.03 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.53 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.95 จุด

     - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 ก.ค.60) 1,574.09 จุด ลดลง 3.70 จุด (-0.23%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 562.55 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.60

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 ก.ค.60) ปิดที่ 46.02 ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลง 52 เซนต์ หรือ 1.1%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 ก.ค.60) ที่ 7.06 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 33.55/59 แนวโน้มแข็งค่าสอดคล้องทิศทางภูมิภาค มองกรอบวันนี้ 33.50-33.60

      - สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2560 จีดีพีภาคเกษตรจะขยายตัวในกรอบ 2.5-3.5% ตามที่ได้พยากรณ์ไว้เมื่อเดือน ธ.ค.59 เนื่องจากการขยายตัวจีดีพีภาคเกษตรเป็นบวกต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาสแรกขยายตัว 4.7% และไตรมาส 2 ขยายตัว 2% และแนวโน้มรายได้ภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 จากผลผลิตสำคัญที่จะออกตลาด คือ ข้าว ยาง ปาล์ม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แม้สัดส่วนการส่งออกยังน้อย แต่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

        - ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2561 ททท.ตั้งเป้ารายได้การท่องเที่ยวเติบโต 8% มีต่างชาติมาเที่ยว 37 ล้านคน เทียบกับปีนี้อยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท หรือจำนวน 34-35 ล้านคน

      - คลังพร้อมกู้เงินเพื่อใช้ก่อสร้างรถไฟไทย-จีน วงเงิน 1.79 แสนล้านบาท ที่ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งการลงทุนโครงการนี้จะใช้เวลา 3-4 ปี ไม่กระทบกับการกู้เงินที่มีการกู้ตามการใช้เงินจริง ซึ่งสามารถกู้ได้ทั้งในและนอกประเทศ เพราะเม็ดเงินของโครงการประมาณ 70-80% คาดว่าจะเป็นการใช้ภายในประเทศจากการก่อสร้างงานโยธาทั้งหมด

      - สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เผยหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พ.ค. 2560 มีจำนวน 6.34 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 42.90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 7.9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 4.9 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 9.71 แสนล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน รัฐบาลค้ำประกัน 4.46 แสนล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 1.75 หมื่นล้าน

*หุ้นเด่นวันนี้

      - BEAUTY (ธนชาต)"ซื้อ" คาดกำไร 2Q60 ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 218 ล้านบาท +57% y-y และ 9% q-q จาก SSSG ขยายตัวแกร่ง +15% y-y และเปิดสาขาต่อเนื่อง ขยายการขายไปยัง modern trade มากขึ้น และรายได้จากการส่งออก/ขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น มองกำไรทั้งปี +39% ปีนี้

      - KTC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 135 บาท ราคาหุ้นลดลงสะท้อนความเสี่ยงที่แบงก์ชาติจะออกกฏควบคุมออกบัตรเครดิตไปแล้ว ขณะที่ผลประกอบการโดยรวมยังแข็งแกร่ง 2Q60 คาดมีกำไรสุทธิ 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%yoy ราคาหุ้นซื้อขายบน PE ต่ำเพียง 10 เท่า มี DPS ต่อปีประมาณ 4.50 บาท ให้ Dividend yield ประมาณ 4% ราคาหุ้นที่ลดลงจึงเป็นโอกาสซื้อ

      - CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) คาดกำไร 2Q60 โตทั้ง Q-Q และ Y-Y เพราะฝนมาเร็ว และต้นทุนจากการขยาย capacity เริ่มนิ่ง ส่วนแนวโน้ม 2H60 คาดโตต่อเนื่องจาก High Season และได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มเงินประกันสังคม ซึ่งคิดเป็น 36% ของรายได้ ด้านราคาเป้าหมายของ Consensus อยู่ที่  2.70-3.00 บาท

      - SWC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14.70 บาท กลุ่มทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง ถือหุ้นใหญ่ 36% ประกาศเทนเดอร์หุ้นที่เหลือทั้งหมด 64% ที่ราคา 13.25 บาท โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมตกลงขายแล้ว 28.93% การเพิ่มสัดส่วนของ TOA สะท้อนศักยภาพการเติบโต และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ SWC

     - MONO (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 4.20 บาท ผู้ประกอบธุรกิจสื่อหลากหลายช่องทางและธุรกิจให้บริการข้อมูล โดยแม้มีผลการดำเนินงานขาดทุนใน 3 ปีหลังสุดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจทีวีดิจิตอล แต่มองประเด็นความน่าสนใจในการพลิกฟื้น (Turnaround) ของผลการดำเนินงานให้สามารถกลับมามีกำไรได้ในปี 60 จากปัจจัยสำคัญ คือ การเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดตัว Platform ใหม่ที่คาดว่าจะเป็น Driver ในระยะยาว

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ นลท.จับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง โกลด์แมน แซคส์, ไมโครซอฟท์, อีเบย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เจเนอรัล อิเล็กทริค และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,074.41 จุด ลดลง 44.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,159.73 จุด ลดลง 16.73 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,489.52 จุด เพิ่มขึ้น 18.94 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,447.47 จุด ลดลง 10.07 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,425.07 จุด ลดลง 0.03 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,291.71 จุด ลดลง 6.53 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,758.14 จุด เพิ่มขึ้น 2.95 จุด

      ทั้งนี้ ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดย S&P Capital IQ ระบุว่า ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 6.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งน้อยกว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 15%

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 25.74 จุด ด้วยแรงหนุนจากหุ้นเหมืองแร่หลังจีนเผยข้อมูลศก.แข็งแกร่ง

        ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) ด้วยแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากที่จีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคแร่โลหะรายใหญ่ของโลก เปิดเผยตัวเลข GDP ที่ขยายตัวดีกว่าระดับคาดการณ์ของตลาด

       ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 25.74 จุด หรือ +0.35% แตะที่ 7,404.13 จุด

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ภายหลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 2/2560 สูงกว่าระดับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ระดับ 6.8% ทั้งนี้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่มีความอ่อนไหวต่อข้อมูลเศรษฐกิจของจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศผู้บริโภคแร่โลหะสำหรับอุตสาหกรรมและแร่โลหะมีค่ารายใหญ่ของโลก

      หุ้นริโอ ทินโต ขยับขึ้น 0.7% หุ้นเกลนคอร์ เพิ่มขึ้น 1.5% หุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส เพิ่มขึ้น 1.2%

      หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นไอทีวี พุ่งขึ้น 1.3% หลังเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สหราชอาณาจักรรายนี้ได้ประกาศแต่งตั้งนางแคโรลีน แมคคอลล์ ผู้บริหารสายการบินอีซี่เจ็ท ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของไอทีวี

         ขณะที่หุ้นอีซี่เจ็ท ดีดตัวขึ้น 1.4% หลังสายการบินเปิดเผยว่าได้เริ่มมองหาผู้สืบทอดตำแหน่งของนางแมคคอลล์แล้ว

        สำหรับ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอังกฤษนั้น อังกฤษ และสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดการเจรจารอบที่ 2 ในประเด็นที่อังกฤษแยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกของ EU ที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อวานนี้ โดยนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit จะเจรจาร่วมกับนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU เป็นเวลา 4 วัน เพื่อหาข้อยุติประเด็นเงื่อนไขที่เกี่ยวกับ Brexit

       การเจรจาครั้งนี้จะมุ่งเน้นในประเด็นสำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับการถอนตัวของอังกฤษ ซึ่งรวมถึงสิทธิของพลเมือง, ร่างกฎหมายการออกจากการเป็นสมาชิก EU ของอังกฤษ และประเด็นชายแดนในไอร์แลนด์เหนือ โดยทาง EU เรียกร้องให้อังกฤษจ่ายเงิน 6 หมื่นล้านยูโร หรือ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นค่าธรรมเนียมในการถอนตัวออกจาก EU

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดขยับขึ้น หลังหุ้นเหมืองพุ่งขานรับ GDP จีน

         ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากมีรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 2/2560 อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา โดยดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสปิดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะเปิดเผยผลประกอบการ

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.01% ปิดที่ 386.86 จุด

     ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,404.13 จุด เพิ่มขึ้น 25.74 จุด หรือ +0.35% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,230.17 จุด ลดลง 5.14 จุด หรือ -0.10% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,587.16 จุด ลดลง 44.56 จุด หรือ -0.35%

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า GDP ไตรมาส 2/2560 ขยายตัว 6.9% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 6.8% และสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 6.5%

     ทั้งนี้ หุ้นอันโตฟากัสต้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองแดง พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นเซนตามิน ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ ทะยานขึ้น 2.3% หุ้นโบลิเดน ผู้ประกอบการเหมืองสัญชาติสวีเดน พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นเทรานิส ผู้ผลิตท่อเหล็ก ปรับตัวขึ้น 0.9%

      หุ้นไอทีวี พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากมีรายงานว่า ไอทีวีจะดึงนางแคโรลีน แมคคอลล์ ผู้บริหารของสายการบินอีซี่เจ็ท ให้นั่งตำแหน่งซีอีโอของไอทีวี โดยจะเริ่มทำหน้าที่ในเดือนม.ค.ปีหน้า ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นอีซี่เจ็ทปรับตัวขึ้น 0.3%

     อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา โดยดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสปิดตลาดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะเปิดเผยผลประกอบการ

      นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย.ของอังกฤษ,  ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนก.ค.ของเยอรมนีจาก ZEW, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.ของเยอรมนี และยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ของอังกฤษ

     นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ECB จะยังไม่มีมติปรับลดวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ โดยคาดว่าทางธนาคารกลางจะเริ่มปรับลดวงเงินดังกล่าวในการประชุมเดือนม.ค.ปีหน้า และมีแนวโน้มว่า จะทยอยปรับลดในช่วงระยะเวลา 9 เดือน

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 8.02 จุด นลท.ชะลอเทรดก่อนบริษัทจดทะเบียนเผยผลประกอบการ

     ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และไมโครซอฟต์ จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพ หลังจากแกนนำวุฒิสภาสหรัฐได้ตัดสินใจเลื่อนการลงมติร่างกฎหมายประกันสุขภาพ อันเนื่องมาจากการที่นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันต้องใช้เวลาในการพักรักษาตัว หลังจากเข้ารับการผ่าตัด

       ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,629.72 จุด ลดลง 8.02 จุด หรือ -0.04% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,459.14 จุด ลดลง 0.13 จุด หรือ -0.01% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,314.43 จุด เพิ่มขึ้น 1.97 จุด หรือ +0.03%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง โกลด์แมน แซคส์, ไมโครซอฟต์, อีเบย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เจเนอรัล อิเล็กทริค และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

       ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดย S&P Capital IQ ระบุว่า ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 6.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งน้อยกว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 15%

       นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพซึ่งปรับตัวลง 0.3% หลังจากนายมิทช์ แมคคอนเนล แกนนำวุฒิสภาของสหรัฐได้ประกาศเลื่อนการลงคะแนนเสียงร่างกฎหมายประกันสุขภาพออกไป เนื่องจากนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันต้องพักรักษาตัว หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการเส้นเลือดอุดตัน

       เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติอนุมัติร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ที่ผลักดันโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด 217-213 เสียง โดยร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ หรือที่เรียกว่า "อเมริกันเฮลธ์แคร์" นั้นจะถูกนำมาบังคับใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ของรัฐบาลชุดก่อน หากผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเผชิญอุปสรรคมากกว่าในสภาผู้แทนราษฎร โดยแกนนำของพรรครีพับลิกันต้องใช้เวลาเกือบ 2 เดือนเพื่อรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อให้เพียงพอต่อการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว

       หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

       ทั้งนี้ แบล็คร็อค ระบุว่า บริษัทมีกำไร 5.24 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.40 ดอลลาร์/หุ้น ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้ 2.965 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.019 พันล้านดอลลาร์

     หุ้น Blue Apron ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์สำหรับทำอาหาร ร่วงลง 10.5% หลังจากมีรายงานว่าบริษัท อเมซอน เตรียมเปิดตัวธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับทำอาหาร โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลว่า Blue Apron อาจเผชิญกับคู่แข่งรายใหญ่

      สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น  ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนก.ค. แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลงอย่างมาก ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงานร่วงลง

      ทั้งนี้ ดัชนีภาคการผลิตดิ่งลงสู่ระดับ 9.8 ในเดือนก.ค. จากระดับ 19.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีภาคการผลิตจะอยู่ที่ระดับ 15 ในเดือนก.ค.

        นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าเดือนมิ.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

     อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!