WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

49ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวเล็งแรงหนุนกลุ่มแบงก์ช่วยประคองก่อนประชุมเฟดสัปดาห์นี้

       นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าหุ้นในกลุ่มแบงก์น่าจะฟื้นตัวได้หลังจากที่ปลายสัปดาห์ที่แล้วได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E ของ EARTH แล้วมองกันไปถึงหุ้นกู้ ทำให้ธนาคารต้องออกมาชี้แจงถึงผลกระทบว่ามีน้อย ดังนั้นวันนี้กลุ่มแบงก์ก็น่าจะช่วยประคองตลาดฯได้ด้วย

       โดยดัชนีฯคงจะแกว่งตัวในกรอบ 1,564-1,571 จุด ซึ่งตลาดฯคงจะเคลื่อนไหวไม่แตกต่างจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเท่าไร เนื่องจากตลาดฯไม่มีปัจจัยลบที่ชัดเจน แต่ก็ไม่มีปัจจัยหนุนเหมือนกัน และนักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้มีการซื้ออย่างต่อเนื่องด้วย

         ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนลบกัน ซึ่งสัปดาห์นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะต้องติดตาม และก่อนการประชุมเฟดก็น่าจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าด้วย ถัดไปก็ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 15-16 มิ.ย. ซึ่งก็ให้รอดูมุมมองทางด้านเศรษฐกิจทั้งในปีนี้และปีหน้า

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 มิ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,271.97 จุด เพิ่มขึ้น 89.44 จุด (+0.42%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,207.92 จุด ร่วงลง 113.85 จุด (-1.80%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,431.77 จุด ขยับลง 2.02 จุด (-0.08%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 92.49 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 104.84 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 62.61 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 11.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.52 จุด

                ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเผยแพร่คัมภีร์อัลกุรอ่าน และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันประกาศอิสรภาพ

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 มิ.ย.60) 1,566.65 จุด ลดลง 3.63 จุด (-0.23%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,143.66 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 มิ.ย.60) ปิดที่ 45.83 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 19 เซนต์ หรือ 0.4%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 มิ.ย.60) ที่ 6.68 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.06/08 นลท.รอติดตามผลประชุม-สัญญาณดอกเบี้ยจากเฟดในสัปดาห์นี้

                - "สมคิด" ตรวจเยี่ยมคมนาคมวันนี้คาดมอบนโยบายรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่นชัดเจน ด้านคมนาคมเตรียมตัวรายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณแอ็คชั่นแพลน-การลงทุนสนับสนุนอีอีซี

                - สศช.รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ถึงการปรับปรุงงบประมาณลงทุนระหว่างปี 2560 รวมถึงการเบิกจ่าย ณ ไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (ม.ค.-มี.ค. 2560) ซึ่งการปรับวงเงินลงทุนทั้งปีนี้ลดลง 18,209 ล้านบาท เหลือ 507,081 ล้านบาท

                - ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยร่างพระราชบัญญัติกองทุน บำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ร่าง พ.ร.บ.กบช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งคลังได้เปิดรับฟังความเห็นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ หลังจากนี้คาดว่าอีกไม่นานร่าง พ.ร.บ.กบช.จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และออกมาใช้เป็นกฎหมายต่อไป

                - ผู้รับเหมาโวยโครงการรถไฟทางคู่ยังล็อกสเปกให้ 5-6 รายเหมือนเดิม'ทีโออาร์'เข้มเกิน ต้องผ่านงานก่อสร้างทางรถไฟ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 730 ล้านบาท ไม่เปิดช่องให้ผู้รับเหมาฯ ทั่วไปร่วมยื่นประมูล สรรพากรเอาแน่เก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ

*หุ้นเด่นวันนี้

                - CIG-W7 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 172,956,992 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 ปี 8 เดือน 15 วัน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (31 พฤษภาคม 2560 - 14 กุมภาพันธ์ 2562) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 มิ.ย. 2560 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 14 ก.พ. 2562

                - BCPG (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 17 บาท มองปี 60 นี้จะเป็นปีที่โดดเด่นในแง่การเติบโตของผลประกอบการหลังปีก่อนมีค่าใช้จ่าย One-time เข้ามากดดัน ขณะที่ปีนี้จะได้แรงหนุนจากการซื้อโครงการไฟฟ้า Geothermal ในอินโดฯ ซึ่งจะทำให้ทั้งกำลังการผลิตที่แท้จริงและกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในวันนี้จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วงสั้น แต่ในระยะยาวมองแนวโน้มการเติบโตยังดี ทำให้หากราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาเป็นโอกาสให้เข้าลงทุน

                - AMATA (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 23 บาท NDR ที่สิงคโปร์ กับนักลงทุนสถาบัน 17 แห่ง คาดกฎหมาย EEC จะผ่านสภาฯ ใน ต.ค.นี้ หนุนการลงทุนเติบโตในระยะกลาง-ยาว ขณะที่ AMATAV ได้ผลดีจากภาวะการลงทุนในเวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง ด้วยยอดขายที่ดิน 5M17 คิดเป็น 90% ของประมาณการทั้งปีที่ 125 ไร่ จึงแนะ"ซื้อ"AMATAV ด้วยให้เป้า 9.3 บาท

                - AOT (โกลเบล็ก) เป้า Bloomberg Consensus 43.33 บาท ผู้บริหารตั้งเป้าหมายขยายการรับผู้โดยสารให้ได้อีก 100 ล้านคนภายในปี 70 โดยเน้นขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 พร้อมพัฒนาเชียงใหม่และภูเก็ตเป็นศูนย์กลางต่อเครื่องบิน ส่วนประเด็นกรมธนารักษ์เปลี่ยนการเก็บค่าเช่าจากส่วนแบ่งรายได้ 5% เป็นผลตอบแทนจากทรัยพ์สิน ผู้บริหารมองไม่กระทบ เนื่องจากปรับค่าเช่าเฉพาะพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งให้เอกชนรับสัมปทานเป็นผู้รับผิดชอบ และคาดไม่มีผลย้อนหลัง(ปี 55-ปัจจุบัน) แต่จะเริ่มใช้หลังตกลงแล้ว

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาการประชุมเฟด

                ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,920.77 จุด ลดลง 92.49 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,149.53 จุด ลดลง 8.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,925.45 จุด ลดลง 104.84 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,137.04 จุด ลดลง 62.61 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,370.69 จุด ลดลง 11.00 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,256.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้เนื่องในวันเผยแพร่คัมภีร์อัลกุรอ่าน และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันประกาศอิสรภาพ

                ทั้งนี้ ตลาดต่างจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ โดยมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

                นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ก็ตาม

                นักวิเคราะห์จากเฟดเดอรัล อินชัวร์ เครดิต ยูเนียนส์ ในกรุงลอนดอน กล่าวว่า แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ออกมาน้อยกว่าคาดการณ์ แต่ตลาดแรงงานของสหรัฐในขณะนี้ยังคงแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดพุ่ง 77.35 จุด รับกระแสคาดรบ.ใหม่ใช้แนวทางซอฟต์เบร็กซิต

          ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นปิดแดนบวกเมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) หลังปรับตัวลดลงมา 4 วันติดต่อกัน โดยภาวะการซื้อขายได้ปัจจัยหนุนจากความคาดหวังของนักลงทุนที่มองว่า การที่พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่ได้เสียงข้างมากในสภาและต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมนั้น อาจส่งผลให้การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปจะเป็นไปในแนวทางที่ผ่อนปรนลงกว่าเดิม หรือซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) นอกจากนี้ เงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงก็เป็นปัจจัยหนุนตลาดเช่นกัน

      ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้น 77.35 จุด หรือ 1.04% ปิดที่ 7,527.33 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีร่วงลง 1.3%

       ผลการนับคะแนนเลือกตั้งอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 319 ที่นั่ง ลดลง 11 ที่นั่ง จากเดิมที่ได้ 330 ที่นั่ง ส่วนพรรคแรงงานได้ 261 ที่นั่ง เพิ่มขึ้น 29 ที่นั่ง จากเดิมที่ได้ 232 ที่นั่ง ขณะที่พรรคชาตินิยมสกอตแลนด์ (SNP) ได้ 35 ที่นั่ง และพรรค Lib Dems ได้ 12 ที่นั่ง ส่วนพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ได้ 10 ที่นั่ง

       ผลการนับคะแนนดังกล่าวบ่งชี้ว่าอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากในสภา (Hung Parliament) โดยพรรคการเมืองจะต้องได้ที่นั่งอย่างน้อย 326 ที่นั่งจากทั้งหมด 650 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้

     ล่าสุด นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยจะร่วมกับพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ของไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการที่พรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้ 319 ที่นั่ง จับมือกับพรรค DUP ซึ่งมี 10 ที่นั่ง จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่มี 329 ที่นั่ง โดยมีจำนวนที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรอย่างฉิวเฉียด

      ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้จุดกระแสคาดการณ์ในตลาดถึงแนวทางการถอนตัวจาก EU ของอังกฤษว่าอาจจะมีท่าทีที่ผ่อนปรนลงกว่าเดิม ไม่ใช่ในลักษณะที่แข็งกร้าว หรือฮาร์ด เบร็กซิต (Hard Brexit) อย่างที่กังวลในตอนแรก เพราะถึงแม้พรรคอนุรักษ์นิยมจะได้คะแนนสูงสุด แต่ก็เสียที่นั่งให้พรรคแรงงานไปหลายที่นั่ง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องทบทวนท่าทีเจรจาโดยลดความแข็งกร้าวลง

       นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนวันศุกร์ยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง เนื่องจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นผลดีต่อรายได้และผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ อย่างไรก็ดี การร่วงลงของเงินปอนด์หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่หนักเท่ากับเมื่อครั้งหลังรับทราบผลการลงประชามติสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้น ปอนด์ดิ่งหนักกว่า 10%

        หุ้นบวกนำโดย สเมอร์ฟิต คัปปา กรุ๊ป บริษัทบรรจุภัณฑ์ลูกฟูกชั้นนำของยุโรป ที่ทะยานขึ้น 5.03% หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น โดยเฟรสนิลโลพุ่ง 3.60% อันโตฟากัสตาพุ่ง 3.51%

      ส่วนหุ้นลบนำโดย เทย์เลอร์ วิมปีย์ บริษัทรับสร้างบ้าน ที่ร่วงลง 3.27% แบ๊บค็อก อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ร่วง 2.92% รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ลดลง 2.45%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับความหวังอังกฤษถอนตัวจากอียูแบบผ่อนปรน

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่าอังกฤษอาจถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปในแนวทางที่ผ่อนปรนลงกว่าเดิม หลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการชี้พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ นอกจากนี้ภาวะการซื้อขายยังได้แรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ซึ่งจำนวนมากเป็นบริษัทข้ามชาติที่จะทำรายได้และกำไรจากต่างประเทศได้มากขึ้น เมื่อเงินปอนด์อ่อนค่าลง

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.24 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 390.39 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีลดลง 0.6%

        ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,299.71 จุด เพิ่มขึ้น 35.47 จุด หรือ 0.67% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,815.72 จุด เพิ่มขึ้น 102.14 จุด หรือ 0.80% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นอังกฤษปิดที่ 7,527.33 เพิ่มขึ้น 77.35 หรือ 1.04%

     ผลการนับคะแนนเลือกตั้งอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 319 ที่นั่ง ลดลง 11 ที่นั่ง จากเดิมที่ได้ 330 ที่นั่ง ส่วนพรรคแรงงานได้ 261 ที่นั่ง เพิ่มขึ้น 29 ที่นั่ง จากเดิมที่ได้ 232 ที่นั่ง ขณะที่พรรคชาตินิยมสกอตแลนด์ (SNP) ได้ 35 ที่นั่ง และพรรค Lib Dems ได้ 12 ที่นั่ง ส่วนพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ได้ 10 ที่นั่ง

     ผลการนับคะแนนดังกล่าวบ่งชี้ว่าอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากในสภา (Hung Parliament) โดยพรรคการเมืองจะต้องได้ที่นั่งอย่างน้อย 326 ที่นั่งจากทั้งหมด 650 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้

       ล่าสุด นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยจะร่วมกับพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ของไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการที่พรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้ 319 ที่นั่ง จับมือกับพรรค DUP ซึ่งมี 10 ที่นั่ง จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่มี 329 ที่นั่ง โดยมีจำนวนที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรอย่างฉิวเฉียด

    ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้จุดกระแสคาดการณ์ในตลาดถึงแนวทางการถอนตัวจาก EU ของอังกฤษว่าอาจจะมีท่าทีที่ผ่อนปรนลงกว่าเดิม หรือซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ไม่ใช่ในลักษณะที่แข็งกร้าว หรือฮาร์ด เบร็กซิต (Hard Brexit) อย่างที่กังวลในตอนแรก เพราะถึงแม้พรรคอนุรักษ์นิยมจะได้คะแนนสูงสุด แต่ก็เสียที่นั่งให้พรรคแรงงานไปหลายที่นั่ง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องทบทวนท่าทีเจรจาโดยลดความแข็งกร้าวลง

       หุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดอังกฤษยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง เพราะเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นผลดีต่อรายได้และผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทเหล่านั้น

       หุ้นสเมอร์ฟิต คัปปา กรุ๊ป บริษัทบรรจุภัณฑ์ลูกฟูกชั้นนำของยุโรป ทะยานขึ้น 5.03% ในตลาดหุ้นลอนดอน ขณะหุ้นเหมืองแร่อย่าง เฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 3.60% และอันโตฟากัสตาพุ่ง 3.51% หุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป บวก 1.5%

       หุ้นไฮเดลเบิร์กซีเมนต์ พุ่ง 3.79% ในตลาดหุ้นเยอรมัน หุ้นกลุ่มบริษัทเคมี BASF และสายการบินลุฟท์ฮันซา บวก 2.59% และ 2.49% ตามลำดับ

     ขณะที่หุ้นเบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิงส์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ร่วง 3.6% เทย์เลอร์ วิมปีย์ บริษัทรับสร้างบ้านของอังกฤษ ลดลง 3.27%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 89.44 จุด ขณะแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีทุบ Nasdaq ร่วงเกือบ 2%

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดแดนบวกเมื่อวันศุกร์ (9 มิ.ย.) จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มการเงินและพลังงาน อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ลดช่วงบวกลงจากระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในระหว่างวัน หลังจากที่นักลงทุนแห่เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งฉุดให้ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลงไปถึงเกือบ 2%

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,271.97 จุด เพิ่มขึ้น 89.44 จุด หรือ +0.42% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,431.77 จุด ขยับลง 2.02 จุด หรือ -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,207.92 จุด ร่วงลง 113.85 จุด หรือ -1.80%

       ตลอดสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.3% S&P 500 ลดลง 0.3% Nasdaq ลดลง 1.6%

      สำหรับ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันศุกร์นั้น ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นถึงกว่า 100 จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักลงทุนซึมซับปัจจัยผลการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักร ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในสภา รวมถึงคำให้การของนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เมื่อวานนี้ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลักดันโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

      อย่างไรก็ตาม ได้เกิดแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเข้ามาในช่วงบ่าย ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล เฟซบุ๊ก ไมโครซอฟท์ อเมซอน และอัลฟาเบท บริษัทแม่ของกูเกิล ซึ่งฉุดดัชนี Nasdaq ดิ่งลง หลังจากที่เพิ่งทำนิวไฮเมื่อวันพฤหัสบดี

     ตลาดเริ่มปรับตัวสู่ทิศทางขาลงหลังจากที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของโกลด์แมน แซคส์ เตือนว่า ความผันผวนที่อยู่ในระดับต่ำของเฟซบุ๊ก อเมซอน แอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท บริษัทแม่ของกูเกิล อาจลวงตานักลงทุนจากความเสี่ยงต่างๆ ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นคึกคักและอยู่ในช่วงขาขึ้นมานานแล้ว นักลงทุนจึงเริ่มมองหาเหตุผลที่จะขายทำกำไร

      การร่วงลงของดัชนี Nasdaq ในวันศุกร์เป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในหนึ่งวันนับตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. และได้ถ่วงอีกสองดัชนีหลักในตลาดหุ้นนิวยอร์กให้ปรับตัวลดลงจากที่แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในระหว่างวัน

       หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 2.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินปรับตัวขึ้น 2.5% และ 1.9% ตามลำดับ

       หุ้นแอปเปิ้ล ร่วง 3.9% หนักสุดในรอบกว่า 1 ปี หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วง 3.3% มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว หุ้นอัลฟาเบทร่วง 3.4% อเมซอนร่วง 3.2% และไมโครซอฟท์ลดลง 2.3%

      หุ้นเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค บวก 2.4% และโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ บวก 1.7% ขณะที่เชฟรอน บวก 2.3% และเอ็กซอนโมบิล บวก 1.9%

      สำหรับ ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 มิ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางญี่ปุ่นก็มีกำหนดประชุมในสัปดาห์นี้เช่นกัน

      อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!