WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

27ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ จับตาธปท.แถลงปฏิรูปเกณฑ์แลกเปลี่ยนเงินวันนี้, รอปัจจัยตปท.ช่วงปลายสัปดาห์

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะแกว่งตัวไซด์เวย์ ในกรอบแคบเพื่อรอปัจจัยใหม่เข่ามา โดยวันนี้ต้องจับตาธปท.จะแถลงการปฏิรูปกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงินเพื่ออำนวยความสะดวกภาคเอกชนในการทำธุรกิจ แต่คาดว่าจะไม่มีมาตรการที่รุนแรงออกมา

          ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงเมื่อวันศุกร์ จากความกังวลว่าการที่สหรัฐถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลให้สหรัฐขุดเจาะและผลิตน้ำมันมากขึ้นนั้น น่าจะยังเป็นปัจจัยถ่วงตลาด อย่างไรก็ตามตลาดยังมีปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ได้สะท้อนต่อ fund flow ไหลเข้าอย่างจริงจังก็ตาม แต่ก็เป็นปัจจัยระยะสั้นที่ให้นักลงทุนบางส่วนกล้าที่จะเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น นอกจากนี้การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) รัฐบาลสหรัฐ หลังตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่ออกมาน่าผิดหวัง ทำให้เป็นประเด็นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งหรือไม่ในปีนี้ ส่งผลให้มีการเก็งกำไรหุ้นปันผลเข้ามาบ้าง

       อย่างไรก็ตาม ตลาดยังรอปัจจัยจากต่างประเทศในวันที่ 8 มิ.ย. ที่จะมีการเลือกตั้งในอังกฤษ ,การประชุม ECB รวมถึงการที่นายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI จะออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และรัสเซีย เป็นครั้งแรก

        พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,565 และ 1,560 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,570 และ 1,575 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

            - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 มิ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,206.29 จุด เพิ่มขึ้น 62.11 จุด(+0.29%),  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,305.80 จุด เพิ่มขึ้น 58.97 จุด (+0.94%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,439.07 จุด เพิ่มขึ้น 9.01 จุด (+0.37%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 41.86 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 52.31 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 12.36 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.94 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.34 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.42 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 46.96 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 มิ.ย.60) 1,567.60 จุด เพิ่มขึ้น 4.49 จุด (+0.29%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,235.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 มิ.ย.60) ปิดที่ 47.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 70 เซนต์ หรือ 1.5%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 มิ.ย.60) ที่ 6.18 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.04 ตลาดจับตาธปท.แถลงปฏิรูปเกณฑ์แลกเปลี่ยนเงิน มองกรอบวันนี้ 34-34.15

                - จับตาแบงก์ชาติแถลงวันนี้ ปรับเกณฑ์คุมแลกเปลี่ยนเงิน เอื้อทำธุรกิจคล่องตัว ชี้หากมีมาตรการคุมเงินไหลเข้า อาจกดดันบาทอ่อนค่าเพิ่ม ด้านสมาคมตราสารหนี้ไทย เผยต่างชาติเพิ่มน้ำหนักบอนด์ไทย หลังเศรษฐกิจฟื้นชัด ส่งผลเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ชี้ 5 เดือนซื้อสุทธิ เฉียด 1 แสนล้านบาท ดันสัดส่วนต่างชาติถือเพิ่ม เป็น 13% ย้ำส่วนใหญ่เป็นเงินระยะยาว ไร้แรงเก็งกำไร

                - เครดิตบูโรเผยแบงก์ยังเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อใหม่ พร้อมตรวจเช็คข้อมูลลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้น ตรวจถี่ยิบทุกเดือน ห่วงก่อหนี้เพิ่มกระทบการชำระคืน หลังเอ็นพีแอลทั้งระบบยังสูง ขณะที่มีกลุ่มค้างชำระ แต่ยังไม่เป็นหนี้เสียเพิ่ม ชี้กลุ่มเจนวายน่าห่วง คาดรัฐเตรียมมาตรการเพิ่มหลังออกคลินิกแก้หนี้

                - "สุวิทย์" รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลเตรียมปรับการบริหารภูมิภาค จาก 4 ภาค เป็น 6 ภาค เพิ่มภาค "อีอีซี -5 จังหวัดชายแดนใต้" หวังดันศักยภาพเจราจาเพื่อนบ้าน วางแผนพัฒนาลงลึกระดับอำเภอ เล็งตั้งรองปลัด 6 คน ดูแลแต่ละภาค หารือที่ประชุม 9 มิ.ย.นี้ ด้านหอการค้าระดมสมองประชารัฐภาคตะวันออก วางแผนพัฒนาเมืองพัทยาใหม่ รองรับอีอีซี

                - "ซูเปอร์บอร์ด" ลงพื้นที่เร่งติดตามความคืบหน้า ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทราคลองสิบเก้า-แก่งคอย พบแผนการสร้างสัญญา 2 ช่วงอุโมงค์ลอดเขาพระพุทธฉายล่าช้ากว่าแผน พบติดปัญหาเข้าพื้นที่

                - ผู้จัดการ ตลาดเอ็มเอไอมีแผนหารือกับนักธุรกิจที่เป็นทายาทเจ้าของกิจการ หรือทายาทเจ้าสัวทั่วประเทศ เช่น โครงการทายาทนักธุรกิจของส.อ.ท. และกลุ่มที่อยู่ในโครงการวายอีซีของหอการค้าไทย และอื่นๆเพื่อจัดทำแผนส่งเสริมผลักดันให้ธุรกิจที่บริหารงานโดยทายาทส่วนใหญ่ที่เป็นธุรกิจครัวเรือนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ หรือส่งเสริมการใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายในการระดมทุนขยายกิจการ โดยคนกลุ่มนี้มีความรู้ทั้งด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีและการสร้างเครือข่ายกับธุรกิจอื่นๆที่สำคัญ ส่วนใหญ่สนใจที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าด้านธรรมาภิบาล รวมถึงสามารถหาช่องทางในการระดมทุนเพิ่มขึ้นด้วย

                - "สมคิด" นำทีมเศรษฐกิจเยือนญี่ปุ่น หารือกระชับความร่วมมือ 8 ด้าน ครอบคลุม อีอีซี ระบบราง ทรัพยากรบุคคล เอสเอ็มอี พร้อมริเริ่มแผนพัฒนามาสเตอร์แพลน ซีแอลเอ็มวีที

                - แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 พร้อมเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ซึ่งมีกำหนดที่ สนช.พิจารณาวาระที่ 1 รับร่างกฎหมายวันที่ 8 มิ.ย. จากนั้นจะพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 31 ส.ค. โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2561 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ 7 ก.ย. มีผลในวันเริ่มปีงบประมาณใหม่ วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป

*หุ้นเด่นวันนี้

                - AS-W1 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (AS) เทรดวันนี้วันแรกใน SET  มีจำนวน 102,468,974 หน่วย ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท อายุ 3 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (15 พ.ค.60) มีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 2 บาท กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 25 ธ.ค.60 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 14 พ.ค.63

                - PIMO-W1 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ (PIMO) เข้าซื้อขายวันนี้วันแรกใน mai โดยมีจำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 103,999,978 หน่วย ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท อายุ 2 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (16 พ.ค.60) มีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 1.20 บาท กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 15 ธ.ค.60 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 พ.ค.63

                - PTG (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"เป้าหมาย 28 บาท คาดตลาดจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไร PTG ตั้งแต่ 2Q60 เป็นต้นไป (ฟื้นตัวเทียบ QoQ) โดยเหตุผลหลักจะมาจากค่าการตลาดที่เริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน (ซึ่งมีปริมาณขายสูงกว่าเดือนพฤษภาคม) ซึ่งคาดจะทรงตัวในระดับนี้ได้ตลอดทั้งปี ขณะที่ทิศทางของราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันมีความผันผวนลดลง โดยกรอบการปรับตัวสูงขึ้นถูกจำกัดด้วยปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ ขณะที่กรอบการปรับตัวลงก็ถูกจำกัดโดยการลดปริมาณการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ค่าการตลาดจะไม่เกิดความผันผวนดังเช่นที่เกิดขึ้นใน 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 834 ล้านบาท (-22.3% YoY) โดยมองการฟื้นตัวของค่าการตลาดเป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว ขณะที่กำไรที่หดตัวลงมากใน 1Q60 จะกดดันให้กำไรทั้งปีไม่สามารถแสดงการเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2559 ได้

                - BANPU (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 24 บาท โดยมองตลาดกังวลกับราคาถ่านหินมากเกินไป ราคาปัจจุบันยังอยู่ในสมมติฐานของที่ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน และถือว่า downside ต่ำเพราะอยู่ในช่วงราคา 500-570 หยวน/ตันตามนโยบายที่จีนต้องการให้มีเสถียรภาพในระดับนี้ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการยังแกร่ง คาดกำไรปีนี้ turnaround +226% Y-Y P/E ปัจจุบันที่ 8.5 เท่าและ P/BV 1 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและในภูมิภาค

ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์ทำนิวไฮ

            ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ S&P 500 และ Nasdaq เดินหน้าทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงเนื่องจากเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,135.42 จุด ลดลง 41.86 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,102.11 จุด ลดลง 3.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,976.36 จุด เพิ่มขึ้น 52.31 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,164.89 จุด เพิ่มขึ้น 12.36 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,376.66 จุด เพิ่มขึ้น 4.94 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,242.35 จุด เพิ่มขึ้น 2.34 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,777.37 จุด เพิ่มขึ้น 0.42 จุด

                อย่างไรก็ดี นักลงทุนค่อนข้างระมัดระวังการซื้อขายหลังมีกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึงเกือบ 94% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวกเพียง 3.86 จุด ตลาดผิดหวังตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองทองคำ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งในอังกฤษซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มิ.ย.นี้

        ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,547.63 จุด เพิ่มขึ้น 3.86 จุด หรือ +0.05%

          หุ้นกลุ่มเหมืองทองคำปรับตัวขึ้น และมีส่วนช่วยหนุนดัชนี FTSE 100 ปิดในแดนบวก โดยหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 4.01% ขณะที่หุ้นเฟรสนิลโล และหุ้นคอนวาเทค กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.77% และ 3.57% ตามลำดับ

        อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนเม.ย.

         นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

        นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งในอังกฤษ หลังจากผลการสำรวจของ Ipsos MORI บ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่นำหน้าพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านนั้น ได้ลดลงเหลือเพียง 5 จุด จาก 15 จุดเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

        ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน 45% ลดลง 4 จุดจากการสำรวจครั้งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคแรงงานเพิ่มขึ้น 6 จุด สู่ระดับ 40% โดยผลการสำรวจนี้มีขึ้นก่อนที่ชาวอังกฤษจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 8 มิ.ย.

         หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ภายหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงราว 1.5% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจนำสหรัฐถอนตัวออกจาก "ความตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ" จะส่งผลให้สหรัฐขุดเจาะและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด

           ทั้งนี้ หุ้นบีพี ร่วงลง 1.5% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ดิ่งลง 5.4% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่ง หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

        ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) โดยดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากรายงานยอดขายรถยนต์ที่แข็งแกร่งของเยอรมนี โดยข้อมูลดังกล่าวได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

        ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.2% ปิดที่ 392.55 จุด

        ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,343.41 จุด เพิ่มขึ้น 24.74 จุด หรือ +0.47% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,822.94 จุด เพิ่มขึ้น 158.02 จุด หรือ +1.25% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,547.63 จุด เพิ่มขึ้น 3.86 จุด หรือ +0.05%

       ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานที่ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในเยอรมนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% ในเดือนพ.ค. ซึ่งช่วยหนุนหุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู พุ่งขึ้น 1.2%

           ความแข็งแกร่งของยอดขายรถยนต์ในเยอรมนีได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนเม.ย. ทางด้านนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

      นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์โรเบิร์ต แบรด แอนด์ โค กล่าวว่า แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ แต่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึงเกือบ 94% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

       อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันในระหว่างวันหลังจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ภายหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงราว 1.5% อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจนำสหรัฐถอนตัวออกจาก "ความตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ" จะส่งผลให้สหรัฐขุดเจาะและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด

     ทั้งนี้ หุ้นบีพี ร่วงลง 1.5% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ดิ่งลง 5.4% และหุ้น Eni SpA ร่วงลง 1.5%

     นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในระหว่างวันของตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งในอังกฤษ หลังจากผลการสำรวจของ Ipsos MORI บ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่นำหน้าพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านนั้น ได้ลดลงเหลือเพียง 5 จุด จาก 15 จุดเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

   ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน 45% ลดลง 4 จุดจากการสำรวจครั้งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคแรงงานเพิ่มขึ้น 6 จุด สู่ระดับ 40% โดยผลการสำรวจนี้มีขึ้นก่อนที่ชาวอังกฤษจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 8 มิ.ย.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 62.11 จุด รับหุ้นเทคโนโลยีพุ่งแรง

       ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (2 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq เดินหน้าทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ก็ตาม

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,206.29 จุด เพิ่มขึ้น 62.11 จุด หรือ +0.29% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,439.07 จุด เพิ่มขึ้น 9.01 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,305.80 จุด เพิ่มขึ้น 58.97 จุด หรือ +0.94%

        ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 0.59% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.95% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.54%

        ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้น 1.04% ซึ่งปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ นำโดยหุ้นบรอดคอม ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ซึ่งพุ่งขึ้นกว่า 8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดตัวขึ้น 0.5%

       ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.49% นำโดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.5% และมีส่วนช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์เดินหน้าทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 2

        หุ้นลูลูเลมอน แอธลีติกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดออกกำลังกายชื่อดัง พุ่งขึ้นเกือบ 12% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด และประกาศปรับโฉมสินค้าแบรนด์  Ivivva ของบริษัท

      อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 1.5% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจนำสหรัฐถอนตัวออกจาก "ความตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ" จะส่งผลให้สหรัฐขุดเจาะและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด

      ทั้งนี้ หุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 2.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.3% หุ้นนิวฟิลด์ เอ็กซ์พลอเรชัน ดิ่งลง 5% หุ้นเรนจ์ รีซอสเซส ร่วงลง 3.8%

       นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึงเกือบ 94% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

      ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนเม.ย.

         นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

        ทางด้านนายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นกรรมการเฟดที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในปีนี้ กล่าวว่า  เฟดยังคงมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในช่วงสิ้นปีนี้ และเขาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

       นักลงทุนจับตาสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐซึ่งจะลงมติกฎหมายปฎิรูปการเงินในสัปดาห์หน้า โดยนายเควิน แมคคาร์ธี ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวจะมีการยกเลิกเนื้อหาส่วนใหญ่ในกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ปี 2010

      ทั้งนี้ คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากนั้น จะให้การอนุมัติต่อร่างกฎหมายดังกล่าว แต่ก็คาดว่าร่างกฎหมายนี้จะเผชิญภาวะไม่แน่นอนในวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกพรรคเดโมแครตแสดงท่าทีคัดค้าน ขณะที่พรรครีพับลิกันจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!