WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

5ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับฐานตามตลาดภูมิภาค หลังมูดี้ส์ฯปรับลดเครดิตจีนลงสู่ระดับ A1

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับฐานตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เผชิญแรงขายออกมาหลังจากที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินหยวนและสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของจีน ลง 1 ขั้น สู่ระดับ A1 จากระดับ Aa3 เนื่องจากมองถึงปัญหาหนี้ที่สูงขึ้น และความแข็งแกร่งทางการเงินลดลง ซึ่งตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เช้านี้ต่างก็ปรับฐานลงด้วย

      พร้อมให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ก็จะไม่มีผลต่อตลาดฯ และให้ติดตามการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออก (โอเปก) และนอกโอเปก ในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.) ซึ่งตลาดคาดจะขยายระยะเวลาในการลดกำลังการผลิตน้ำมันไปอีก 9 เดือนจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า

โดยให้แนวรับ 1,558 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,937.91 จุด เพิ่มขึ้น 43.08 จุด (+0.21%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,138.71 จุด เพิ่มขึ้น 5.09 จุด (+0.08%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,398.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด (+0.18%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 164.28 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 20.89 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 6.31 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.91 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 24.03 จุด

        - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 พ.ค.60) 1,564.69 จุด เพิ่มขึ้น 6.96 จุด (+0.45%)

      - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,780.80 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.60

        - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 พ.ค.60) ปิดที่ 51.47 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.7%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 พ.ค.60) ที่ 5.85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 34.44 อ่อนค่าจากวานนี้เล็กน้อย รอปัจจัยใหม่ คาดกรอบวันนี้ 34.40-34.50

        - โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ใน 3 ประเด็นเพื่อขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้รวดเร็วขึ้น ก่อนที่ พ.ร.บ.พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ภายใน 1-2 วันนี้

        - มติบอร์ดการบินไทยไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนนกแอร์ เหตุ 'พาที' ไม่ลาออก และแผนบริหารขาดความชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มจุฬางกูรกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1

       - รฟม.เปิดรายชื่อเอกชนยื่นข้อเสนอเข้ารับเป็นที่ปรึกษาสายสีชมพู-สายสีเหลือง มี 3 กลุ่ม คาด 2 รายลงนามสัญญาว่าจ้างได้ภายในเดือน มิ.ย.60

       - "ทีวีดิจิทัล" จ่ายค่าประมูลงวดที่ 4 กว่า 5 พันล้านบาท ผู้ประกอบการ 17 ช่องยื่นขยายเวลาตาม ม.44 พบ 5 ช่องจ่ายปกติ 6 ปี หวั่นแบกภาระต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่ม เดินหน้าเสริมทัพคอนเทนท์สู้ศึกทีวี มุ่งขยายฐานผู้ชมออนไลน์ หวังชิงเม็ดเงินโฆษณาสื่อดิจิทัลขาขึ้น

       - สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือน เม.ย. 2560 พบว่า ผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 55.89 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน หรือผู้ที่พร้อมจะทำงาน 37.89 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 37.09 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.73 แสนคน ผู้รอฤดูกาล 3.24 แสนคน ขณะที่มีผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน หรือ ผู้ไม่พร้อมทำงานมี 18 ล้านคน

*หุ้นเด่นวันนี้

        - AAV (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 6.80 บาท ปรับกำไรลง 24% ปีนี้ จากการแข่งขันที่รุนแรง กดดันอัตรากำไรลดลง อย่างไรก็ดีมองราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว และตัวเลขผู้โดยสาร low-cost ยังเติบโตแกร่ง 15% y-y ใน 1Q60

       - ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16 บาท มองบวกกับการซื้อหุ้น 100% ในพราวด์เรสซิเดนซ์ เพราะช่วยขยายตลาดสู่ระดับบนที่ ORI ยังขาด ปัจจุบันพราวด์เรสซิเดนซ์มี 1 โครงการคอนโดคือ Park 24 มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ขายได้แล้ว 1 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q60 ถึงปี 2563 เมื่อรวมกับ Backlog ของ ORI จึงเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท เป็นผู้ประกอบการในตลาดฯ ที่มี Backlog สูงมาก ขณะที่ Net profit margin ของ Park 24 สูงกว่าโครงการของ ORI ที่ทำได้ 18-19% ปรับประมาณการขึ้น คาดกำไรปีนี้ 1.66 พันล้านบาท +160% Y-Y ชดเชย dilution จากการเพิ่มทุน PP 5.3% ได้ ทำให้ EPS growth เป็น 77% Y-Y และคาดกำไรโตต่อเนื่องในปีหน้า 52% Y-Y

      - UNIQ(ไอร่า) เป้า 25.70 บาท ความสามารถในการทำกำไรของ UNIQ ใน 1Q/60 เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ โดยมี Gross Profit Margin เฉลี่ย 18.49% เพิ่มขึ้นจาก 14.72% เมื่อ 4Q/59 หลังไตรมาสที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากต้นทุนงานก่อสร้างที่สูงขึ้น แต่เป็น One Time และเมื่อเทียบกับ 1Q/59 พบว่ากำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 27% อยู่ที่ 212 ล้านบาท ตามรายได้งานก่อสร้าง จำนวน 3,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%yoy พร้อมคาดยังสามารถเติบโตต่อเนื่องในปี 60 ภายใต้ Backlog ล่าสุด คาดอยู่ที่ระดับ 30,000 (หลังหักรายได้ 1Q/60) ซึ่งคาดเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ UNIQ เป็น 1 ใน 4 ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ที่คาดได้รับประโยชน์จากงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ หลังมูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือจีน

     ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ โดยส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขณะที่บางส่วนอ่อนตัวลงหลังมีข่าวว่ามูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีน

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,777.56 จุด เพิ่มขึ้น 164.28 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,047.57 จุด ลดลง 14.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,382.26 จุด ลดลง 20.89 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,014.15 จุด เพิ่มขึ้น 6.31 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,319.37 จุด เพิ่มขึ้น 7.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,230.60 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,770.46 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,788.11 จุด ลดลง 24.03 จุด

      ทั้งนี้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินหยวนและสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของจีน ลงสู่ระดับ A1 จากระดับ AA3 โดยมูดี้ส์คาดการณ์ว่า ความแข็งแกร่งด้านการเงินของจีนอาจจะถดถอยลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

      ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ได้ปรับเปลี่ยนแนวโน้มความน่าเชื่อถือของจีนจาก "เชิงลบ" เป็น "มีเสถียรภาพ"

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 11.05 จุด นลท.วิตกเหตุระเบิดแมนเชสเตอร์

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) จากปัจจัยความวิตกกังวลของนักลงทุน หลังเกิดเหตุระเบิดที่เมืองแมนเชสเตอร์ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย

       ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 11.05 จุด หรือ -0.15% ปิดที่ 7,485.29 จุด

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้เป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า ก่อนจะร่วงลงในเวลาต่อมา จากปัจจัยค่าเงินปอนด์ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.3034 ดอลลาร์ในช่วงก่อนที่ตลาดหุ้นยุโรปจะปิดทำการเมื่อคืนนี้ ทั้งนี้ การที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อเงินรายได้ในต่างประเทศราว 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน

       อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Forex.com กล่าวว่า การที่ค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นเมื่อคืนนี้นั้นเป็นปัจจัยทางเทคนิค ไม่ใช่ปฏิกิริยาของนักลงทุนที่มีต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายในเมืองแมนเชสเตอร์แต่อย่างใด

       นักวิเคราะห์กล่าวด้วยว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นลอนดอนต่างจับตาดูความคืบหน้าของเหตุการณ์โจมตีแมนเชสเตอร์ อารีนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาว อาเรียนา แกรนเด โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวมือระเบิดชื่อ ซัลแมน อาเบดี หรือซัลแมน รามาดอน อาเบดี ขณะที่กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ได้ออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมดังกล่าว

       นักวิเคราะห์จากแอคเซนโด มาร์เก็ตส์ ระบุว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองในอังกฤษต้องระงับการหาเสียงชั่วคราว ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ โดยโพลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ยังคงมีคะแนนนำหน้าพรรคแรงงานของนายเจเรมี คอร์บิน

       หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการที่น่าจับตา หุ้นเมอร์ลิน เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ผู้ดำเนินงานสวนสนุกชั้นนำ ร่วง 1.5% ขณะที่หุ้นวิทเบรด ผู้ดำเนินงานเครือโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ขยับลง 0.9% และหุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล คอนโซลิเดเต็ด แอร์ไลน์ส กรุ๊ป บริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ และหุ้นสายการบินอีซีเจ็ท เพิ่มขึ้น 0.5% และ 2.5% ตามลำดับ

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : ข้อมูลเศรษฐกิจแข็งแกร่ง หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของประเทศยูโรโซน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และดัชนี PMI ภาคการผลิตของเยอรมนี อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวร่วงลง หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ

        ดัชนี Stoxx Europe 600 ดีดตัวขึ้น 0.2% ปิดที่ 392.02 จุด

        ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,348.16 จุด เพิ่มขึ้น 25.28 จุด หรือ +0.47% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,659.15 จุด เพิ่มขึ้น 39.69 จุด หรือ +0.31% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,485.29 จุด ลดลง 11.05 จุด หรือ -0.15%

        ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติเยอรมนีรายงานว่า GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัว 0.6% เทียบรายปี โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออก รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและการก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น

       ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของฝรั่งเศส ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 58.0 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 56.8 ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของเยอรมนี ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 59.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 48 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 58.0

       หุ้นโนเกีย พุ่งขึ้น 6.4% หลังจากโนเกียสามารถยุติคดีความทางกฎหมายกับบริษัทแอปเปิล อิงค์

       อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวปรับตัวลง หลังจากเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่แมนเชสเตอร์ อารีนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาว อาเรียนา แกรนเด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 59 ราย โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวมือระเบิดชื่อ ซัลแมน อาเบดี หรือซัลแมน รามาดอน อาเบดี

       ทั้งนี้ หุ้นเมอร์ลิน เอนเตอร์เทนเมนท์ ร่วงลง 1.5% และหุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล ปรับตัวลง 0.2%

       ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนลบ หลังจากเกิดเหตุโจมตีในเมืองแมนเชสเตอร์ ขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศยกเลิกการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรงในครั้งนี้

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 43.08 จุด ขานรับงบประมาณรัฐบาลทรัมป์

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) หลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ยื่นเสนองบประมาณประจำปี 2018 วงเงิน 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว 3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดได้ถูกสกัดในระหว่างวัน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,937.91 จุด เพิ่มขึ้น 43.08 จุด หรือ +0.21% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,398.42 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด หรือ +0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,138.71 จุด เพิ่มขึ้น 5.09 จุด หรือ +0.08%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยปัจจัยล่าสุดมาจากรายงานที่ว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเสนองบประมาณประจำปี 2018 วงเงิน 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว 3% ต่อปี จากการใช้จ่ายของรัฐบาล และการปรับลดภาษี

    ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าวซึ่งจะเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.ปีนี้ จะมีการตัดงบราว 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ออกจากโครงการสวัสดิการต่างๆ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรือราว 8% ซึ่งรวมถึงการยกเลิก และทดแทนกฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์, การยกเลิกการชดเชยเงินกู้เพื่อการศึกษา, การตัดงบสำหรับแสตมป์อาหาร และสวัสดิการบำนาญสำหรับข้าราชการ

     สำหรับ ในด้านการจัดเก็บภาษีนั้น จะมีการปรับลดขั้นบันไดในการคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากปัจจุบัน 7 ขั้น เหลือเพียง 3 ขั้น โดยผู้มีรายได้ในขั้นสูงสุดจะเสียภาษีในอัตรา 35% ส่วนอีก 2 ขั้น เสียภาษีในอัตรา 25% และ 10% โดยจะมีการถกรายละเอียดอื่นๆในการอภิปรายในสภาคองเกรส

     หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 0.1% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 1.2%

     ส่วนหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1.3% ขณะที่หุ้นโนเกีย พุ่งขึ้น 5.3% หลังจากโนเกียสามารถยุติคดีความทางกฎหมายกับบริษัทแอปเปิล อิงค์

     ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ โดยผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นรวมภาคการผลิตและบริการของสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดับ 53.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน

     อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.ร่วงลง 11.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 569,000 ยูนิต ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับลงเพียง 1.5% สู่ระดับ 610,000 ยูนิต ขณะที่เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีภาวะธุรกิจภาคบริการในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ร่วงลงสู่ระดับ 25.8 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2016

     หุ้นกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและหุ้นบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ภายในบ้าน ร่วงลง หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนเม.ย. โดยหุ้นเอ็นวีอาร์ ดิ่งลง 2.6% หุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ร่วงลง 1.6% หุ้นโลว์ส ร่วงลง 2 % และหุ้นโฮม ดีโปท์ ดิ่งลงกว่า 2%

    นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่เฟดจะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

     นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.โดยมาร์กิต, ดุลการค้าเดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาส 1 (ประมาณการครั้งที่ 2), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

      อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!