WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

56ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นแกว่งตัวขึ้น หลังนลท.สถาบันกลับมาซื้อ แม้ยังกังวลกำไรแบงก์หลังลดดบ.เงินกู้

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้จะแกว่งตัว Sideway ถึง Sideway up จากการรีบาวด์ทางเทคนิคที่ยังมีต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนรายสถาบันเข้ามาอย่างไรก็ดีตลาดฯอาจยังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มแบงก์ ที่นักลงทุนมีความวิตกว่าผลกำไรอาจได้รับผลกระทบหลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะค่อนไปในทางลบเล็กน้อย จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยยังคงต้องติดตามสต็อกน้ำมันดิบที่สหรัฐฯจะประกาศในคืนนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,540 จุด และแนวต้าน 1,550-1,555 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,979.75 จุด ลดลง 2.19 จุด (-0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,169.87 จุด เพิ่มขึ้น 20.20 จุด (+0.33%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,400.67 จุด ลดลง 1.65 จุด (-0.07%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 113.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 19.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 11.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.77 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.59 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 พ.ค.60) 1,546.35 จุด เพิ่มขึ้น 8.93 จุด (+0.58%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 85.12 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ค.60

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 พ.ค.60) ปิดที่ 48.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.4%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 พ.ค.60) ที่ 5.86 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 34.48 แข็งค่าตามภูมิภาคจากแรงขายดอลล์ หลังกังวลการเมืองในสหรัฐฯ

       - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ขณะนี้ได้ปรับตัวขึ้น ล่าสุดแบงก์ออฟไชน่าจะนำนักธุรกิจจากประเทศจีนประมาณ 100 ราย มาดำเนินกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับนักธุรกิจไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมสืบเนื่องจากที่เคยนำคณะไปเยือนฮ่องกงและได้ขอให้ทางนั้นนำคณะนักลงทุนมาหาลู่ทางลงทุนในไทย การมาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของต่างชาติ

       - การเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้ไม่มีข้อสรุปบลจ.เสนอคลังทบทวน คาดกระทบวงกว้าง เงินไหลออกหลายแสนล้าน เสนอเก็บกลุ่ม คนรวยกองเทอมฟันด์-ดอกเบี้ยหุ้นกู้ แนะปรับพอร์ตลงทุนตราสารหนี้เน้นระยะสั้น 2-3 ปี

      - ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังเห็นการโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทนำเที่ยวของเมืองจีนจัดมาไทยมากขึ้น เช่น ราคาแพคเกจ 699 หยวน หรือเริ่มต้น 3,500 บาท แสดงว่าปัญหายังไม่หมดไปอย่างแท้จริง และมาตรการที่ออกมาในเดือนตุลาคมไม่สามารถปราบปรามได้หมด จึงจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบอย่างเข้มงวดอีกครั้ง ว่าราคาแพคเกจทัวร์ไม่ต่ำเกินไป และต้องไม่มีการขายทัวร์เสริม (ออปชั่นนอล ทัวร์) ประกอบกับเริ่มเห็นรายงานการทิ้งทัวร์นักท่องเที่ยวชาวจีน ที่จังหวัดพังงา ซึ่งจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยวไทย-จีน ในงานไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท เดือนมิถุนายน เพื่อหารือเร่งแก้ปัญหาไม่ให้ทัวร์ศูนย์เหรียญกลับมาอีก

      - ส.อ.ท.ชี้อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะ 3.66 บาท/หน่วยเหมาะสม แต่หวั่นไม่มีวัตถุดิบผลิต และอาจกระทบหลายด้านทั้งพื้นที่และการยอมรับจากประชาชน

       - ครม.ไฟเขียวการเคหะฯสร้างบ้านให้ผู้มีรายได้น้อยล็อตแรกกว่า 6 พันหน่วย ใช้เงินกู้-เงินอุดหนุนจากรัฐ และเงินของการเคหะฯ โดยใช้แอพพลิเคชั่นสำรวจความต้องการของคนไทย ด้านธอส.ออกแคมเปญพิเศษดอกเบี้ยบ้านคงที่ 2% นาน 3 ปี รายละไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งบ้านได้ทุกประเภท

*หุ้นเด่นวันนี้

      - ERW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6 บาท ยังคงมุมมองเป็นบวกต่อทิศทางการเติบโตของ ERW จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นขาขึ้นนำโดยการเติบโตของรัสเซีย และจีนที่เริ่มฟื้นชัดเจน การลงทุนใหม่ๆ (เปิด Hop Inn ในไทยและฟิลิปปินส์ เป็นต้น) ยังเป็นไปตามแผนและเชื่อว่าจะไม่ฉุดภาพรวมของทั้งกลุ่ม เห็นได้จากโรงแรมใหม่ที่เปิดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ การจาย Portfolio ที่แข็งแกร่ง ยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ +20.6% Y-Y

      - DRT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.60 บาท  กำไรดีกว่าคาด +95% Q-Q, +5% Y-Y จากยอดขายที่โตได้ดีทุกช่องทางการจัดจำหน่ายหลังรุกขยายตลาดแบบ Full Multi Channel ทำให้สัดส่วนยอดขายผ่าน Modern Trade และตลาดส่งออกไปยัง CLMV เพิ่มขึ้น บวกกับรายได้เกษตรกรดีขึ้น หนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดดีขึ้น โดยได้ปรับกำไรปกติปีนี้ขึ้น 4% เป็น +21% Y-Y

       - IRPC (ยูโอบี เคย์เฮียน) ราคาหุ้นปรับลดลงจากแรงทำกำไร และความตกใจจากการที่ตัวทำปฏิกิริยา (Catalyst) ของหน่วยผลิต UHV ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามมองผลกระทบเชิงลบที่ 3% ของคาดการณ์กำไรสุทธิ ซึ่งด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่สูง โดยยังมองบริษัทมีโอกาสทำกำไรได้ดีและยังคงมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการขึ้น และการปรับลดลงเป็นโอกาสซื้อ

      - MTLS (ไอร่า) เป้า 34 บาท ผลการดำเนินงาน 1Q/60 มีกำไรสุทธิ 536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%QoQ และ 91%YoY หลังมีการขยายสาขาต่อเนื่องจากสิ้นปี 59 จำนวน 210 สาขา โดย ณ สิ้นมี.ค. มีจำนวน 1,874 สาขา และส่งผลให้ New Loans เติบโตสูงถึง 70%YoY ขณะที่ NPL เพิ่มขึ้นเพียง 32 ล้านบาท ทำให้ NPL Ratio อยู่ที่ 1.09% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก1.07% เมื่อ 4Q/59 และมี Provision จำนวน 146 ล้านบาท ทำให้ Coverage Ratio อยู่ที่ 265% เพิ่มขึ้นจาก 4Q/59 ซึ่งอยู่ที่ 257%  พร้อมคาด 2Q/60 กำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของสินเชื่อ ขณะที่คาด New Loans ไว้ที่ 50,000 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปี 60 ที่ 2,282 ล้านบาท หรือ 1.08 บาท/หุ้น

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ เหตุนักลงทุนวิตกการเมืองสหรัฐ

    ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

      ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,806.78 จุด ลดลง 113.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,107.80 จุด ลดลง 5.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,355.76 จุด เพิ่มขึ้น 19.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,019.62 จุด ลดลง 11.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,291.56 จุด ลดลง 3.77 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,220.47 จุด ลดลง 7.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,779.74 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด

       ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ และนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ในระหว่างการพบปะกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย และนายเซอร์เกย์ คิซยัค ทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

     ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อกล่าวปกป้องการที่เขาได้แบ่งปันข้อมูลความลับกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยระบุว่า เขาแบ่งปันข่าวกรองดังกล่าวกับทางรัสเซีย อันเนื่องจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเขาต้องการให้รัสเซียดำเนินการมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม ISIS

     นักวิเคราะห์จากบริษัทเธมิส เทรดดิ้ง กล่าวว่า รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของปธน.ทรัมป์เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์อ่อนค่าหนุนฟุตซี่ปิดทะลุ 7,500 จุดครั้งแรก

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) ด้วยอานิสงส์จากการที่เงินสกุลปอนด์อ่อนค่าลง แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 ปีก็ตาม

       ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 67.66 จุด หรือ +0.91% ปิดที่ 7,522.03 จุด

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ดัชนี FTSE 100 ทะยานขึ้นปิดที่ระดับเหนือ 7,500 จุดได้เป็นครั้งแรก จากปัจจัยที่ค่าเงินปอนด์ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1.29 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ถึงแม้ว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส โดยอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2013 และสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5%

     ทั้งนี้ การที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า

      หุ้นโวดาโฟน พุ่งขึ้น 4% หลังบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ดังกล่าว เปิดเผยรายงานคาดการณ์ว่า บริษัทจะมีผลกำไรเติบโตขึ้นในปีงบการเงินปัจจุบัน หลังจากที่ขยายตัวได้ตามเป้าหมายในปีงบการเงิน 2017 นอกจากนี้ โวดาโฟนยังประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายที่ระดับ 2%

       หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น โดยหุ้นบีพีและรอยัล ดัตช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.1% จากปัจจัยที่ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซียเห็นพ้องที่จะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับการผ่าทางตันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่ม ในการแก้ปัญหาภาวะน้ำมันล้นตลาด

       หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นอีซีเจ็ท ร่วงลง 7.3% หลังสายการบินชั้นประหยัดดังกล่าวเปิดเผยตัวเลขขาดทุนสุทธิในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ  192 ล้านปอนด์ (248 ล้านดอลลาร์) จากผลกระทบของการที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หลังยอดขายรถยนต์ยุโรปร่วง

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มรถยนต์ หลังจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปร่วงลงในเดือนเม.ย. ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า การขยายตัวของ GDP กลุ่มยูโรโซนในไตรมาส 1 ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการเบื้องต้น

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.09% ปิดที่ 395.91 จุด

       ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,406.10 จุด ลดลง 11.30 จุด หรือ -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,804.53 จุด ลดลง 2.51 จุด หรือ -0.02% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,522.03 จุด เพิ่มขึ้น 67.66 จุด หรือ +0.91%

       หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงหลังจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ร่วงลง 6.6% สู่ระดับ 1.1 ล้านคันในเดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากช่วงวันหยุดในเทศกาลอีสเตอร์

       ทั้งนี้ โฟล์คสวาเกนมียอดขายร่วงลง 14% ขณะที่สัดส่วนตลาดดิ่งลงต่ำกว่า 25% ส่วนยอดขายของ BMW ลดลง 6%, เดมเลอร์ร่วงลง 2.7%, ออดี้ทรุดตัวลง 10%, เรโนลด์ลดลง 2.6% ขณะที่ยอดขายของเฟียต ไครส์เลอร์ทรงตัว

       หุ้นเดมเลอร์ ปรับตัวลง 0.5% หุ้น BMW ลดลง 0.8% หุ้นโฟล์คสวาเกน ดิ่งลง 0.7% และหุ้นคอนติเนนตัล ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ ร่วงลง 1%

      นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลงหลังจากยูโรสแตทรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/60 ขยายตัวที่ระดับ 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

       อย่างไรก็ตาม หุ้นโวดาโฟน ทะยานขึ้น 4% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2560 และประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล 2%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 2.19 จุด วิตกการเมืองสหรัฐกระทบแผนปฏิรูปภาษี

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) จากความวิตกกังวลที่ว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยความวิตกกังวลล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากสื่อรายงานว่า ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลลับให้กับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน และข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐ

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,979.75 จุด ลดลง 2.19 จุด หรือ -0.01% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,400.67 จุด ลดลง 1.65 จุด หรือ -0.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,169.87 จุด เพิ่มขึ้น 20.20 จุด หรือ +0.33%

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ และนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ในระหว่างการพบปะกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย และนายเซอร์เกย์ คิซยัค ทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

       ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อกล่าวปกป้องการที่เขาได้แบ่งปันข้อมูลความลับกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยระบุว่า เขาแบ่งปันข่าวกรองดังกล่าวกับทางรัสเซีย อันเนื่องจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเขาต้องการให้รัสเซียดำเนินการมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม ISIS

      นักวิเคราะห์จากบริษัทเธมิส เทรดดิ้งกล่าวว่า รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของปธน.ทรัมป์เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ

      อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 2 เพราะได้แรงหนุนจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2014 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3%

       นอกจากนี้ ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่าง โฮม ดีโปท์ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดในระหว่างวันด้วย โดยราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ ปิดบวก 0.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้น 1.67 ดอลลาร์ ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.62 ดอลลาร์ ขณะที่ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.0%

     หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ปิดทรงตัว หลังจากฟอร์ดประกาศปรับลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงอีก 10% ตามแผนการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายมูลค่ารวม 3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้

    หุ้น Snap ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของจอร์จ โซรอส ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการถือหุ้นในบริษัท Snap ขณะที่หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเทสลา มอเตอร์ ดีดขึ้น 0.4% และหุ้น AMD ทะยานขึ้น 12%

      นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.โดยเฟดฟิลาเดลเฟีย

   อินโฟเควสท์ 


ภาวะตลาดหุ้นไทย : ปิดเช้าบวก 4.58 จุด ค่อยๆ ฟื้นตัวจากแรงซื้อกลับกลุ่มแบงก์-ปัจจัยบวกกลุ่มพลังงานหนุน ตลาดหลักทรัพย์  ดัชนี ปิดเช้านี้ที่ 1,550.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.58 จุด ซื้อขาย 24,199.54 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ  โดยดัชนีฯแตะจุดสูงสุดที่ 1,552.55 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,545.17 จุด นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เป็นภาพของการค่อย ๆ ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มแบงก์ที่มีแรงซื้อกลับเข้ามา หล้งจากราคาปรับลดลงไปตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ตลาดฯ มองว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรไม่มากนัก ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานก็รับผลบวกจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีการพักตัว และประเด็นที่กลุ่มโอเปคส่งสัญญาณขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก อีกทั้งทาง MSCI ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นหลัก ๆ ในกลุ่มพลังงานด้วย อย่าง PTT และ PTTGC ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ โดยมีตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ล้อตามกันอยู่ พร้อมแนะนำให้ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงาน ซึ่งขณะนี้ยังเป็นภาพของการฟื้นตัวขึ้น แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายกรภัทร กล่าวว่า ตลาดฯยังมีลุ้นฟื้นตัวได้ต่อ ให้แนวต้าน 1,553 จุด ส่วแนวรับ 1,540-1,536 จุดส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ EARTH   มูลค่าการซื้อขาย 1,728.39 ล้านบาท ปิดที่   2.48 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท AOT     มูลค่าการซื้อขาย 1,670.01 ล้านบาท ปิดที่  41.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท CPF     มูลค่าการซื้อขาย 1,293.45 ล้านบาท ปิดที่  24.70 บาท ลดลง  0.30 บาท BDMS    มูลค่าการซื้อขาย 1,040.01 ล้านบาท ปิดที่  18.90 บาท ลดลง  0.40 บาท KBANK   มูลค่าการซื้อขาย   791.42 ล้านบาท ปิดที่ 185.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท อินโฟเควสท์

ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นแกว่งตัวขึ้น หลังนลท.สถาบันกลับมาซื้อ แม้ยังกังวลกำไรแบงก์หลังลดดบ.เงินกู้ นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้จะแกว่งตัว Sideway ถึง Sideway up จากการรีบาวด์ทางเทคนิคที่ยังมีต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนรายสถาบันเข้ามาอย่างไรก็ดีตลาดฯอาจยังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มแบงก์ ที่นักลงทุนมีความวิตกว่าผลกำไรอาจได้รับผลกระทบหลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะค่อนไปในทางลบเล็กน้อย จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยยังคงต้องติดตามสต็อกน้ำมันดิบที่สหรัฐฯจะประกาศในคืนนี้พร้อมให้แนวรับ 1,540 จุด และแนวต้าน 1,550-1,555 จุดประเด็นการพิจารณาการลงทุน - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,979.75 จุด ลดลง 2.19 จุด (-0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,169.87 จุด เพิ่มขึ้น 20.20 จุด (+0.33%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,400.67 จุด ลดลง 1.65 จุด (-0.07%) - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 113.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 19.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 11.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.77 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.59 จุด - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 พ.ค.60) 1,546.35 จุด เพิ่มขึ้น 8.93 จุด (+0.58%) - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 85.12 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ค.60 - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 พ.ค.60) ปิดที่ 48.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.4% - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 พ.ค.60) ที่ 5.86 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล - เงินบาทเปิด 34.48 แข็งค่าตามภูมิภาคจากแรงขายดอลล์ หลังกังวลการเมืองในสหรัฐฯ - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ขณะนี้ได้ปรับตัวขึ้น ล่าสุดแบงก์ออฟไชน่าจะนำนักธุรกิจจากประเทศจีนประมาณ 100 ราย มาดำเนินกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับนักธุรกิจไทย ซึ่งเป็นกิจกรรมสืบเนื่องจากที่เคยนำคณะไปเยือนฮ่องกงและได้ขอให้ทางนั้นนำคณะนักลงทุนมาหาลู่ทางลงทุนในไทย การมาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของต่างชาติ - การเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้ไม่มีข้อสรุปบลจ.เสนอคลังทบทวน คาดกระทบวงกว้าง เงินไหลออกหลายแสนล้าน เสนอเก็บกลุ่ม คนรวยกองเทอมฟันด์-ดอกเบี้ยหุ้นกู้ แนะปรับพอร์ตลงทุนตราสารหนี้เน้นระยะสั้น 2-3 ปี - ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังเห็นการโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทนำเที่ยวของเมืองจีนจัดมาไทยมากขึ้น เช่น ราคาแพคเกจ 699 หยวน หรือเริ่มต้น 3,500 บาท แสดงว่าปัญหายังไม่หมดไปอย่างแท้จริง และมาตรการที่ออกมาในเดือนตุลาคมไม่สามารถปราบปรามได้หมด จึงจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบอย่างเข้มงวดอีกครั้ง ว่าราคาแพคเกจทัวร์ไม่ต่ำเกินไป และต้องไม่มีการขายทัวร์เสริม (ออปชั่นนอล ทัวร์) ประกอบกับเริ่มเห็นรายงานการทิ้งทัวร์นักท่องเที่ยวชาวจีน ที่จังหวัดพังงา ซึ่งจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยวไทย-จีน ในงานไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท เดือนมิถุนายน เพื่อหารือเร่งแก้ปัญหาไม่ให้ทัวร์ศูนย์เหรียญกลับมาอีก - ส.อ.ท.ชี้อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะ 3.66 บาท/หน่วยเหมาะสม แต่หวั่นไม่มีวัตถุดิบผลิต และอาจกระทบหลายด้านทั้งพื้นที่และการยอมรับจากประชาชน - ครม.ไฟเขียวการเคหะฯสร้างบ้านให้ผู้มีรายได้น้อยล็อตแรกกว่า 6 พันหน่วย ใช้เงินกู้-เงินอุดหนุนจากรัฐ และเงินของการเคหะฯ โดยใช้แอพพลิเคชั่นสำรวจความต้องการของคนไทย ด้านธอส.ออกแคมเปญพิเศษดอกเบี้ยบ้านคงที่ 2% นาน 3 ปี รายละไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งบ้านได้ทุกประเภท*หุ้นเด่นวันนี้ - ERW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6 บาท ยังคงมุมมองเป็นบวกต่อทิศทางการเติบโตของ ERW จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นขาขึ้นนำโดยการเติบโตของรัสเซีย และจีนที่เริ่มฟื้นชัดเจน การลงทุนใหม่ๆ (เปิด Hop Inn ในไทยและฟิลิปปินส์ เป็นต้น) ยังเป็นไปตามแผนและเชื่อว่าจะไม่ฉุดภาพรวมของทั้งกลุ่ม เห็นได้จากโรงแรมใหม่ที่เปิดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ การจาย Portfolio ที่แข็งแกร่ง ยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ +20.6% Y-Y - DRT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.60 บาท  กำไรดีกว่าคาด +95% Q-Q, +5% Y-Y จากยอดขายที่โตได้ดีทุกช่องทางการจัดจำหน่ายหลังรุกขยายตลาดแบบ Full Multi Channel ทำให้สัดส่วนยอดขายผ่าน Modern Trade และตลาดส่งออกไปยัง CLMV เพิ่มขึ้น บวกกับรายได้เกษตรกรดีขึ้น หนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดดีขึ้น โดยได้ปรับกำไรปกติปีนี้ขึ้น 4% เป็น +21% Y-Y - IRPC (ยูโอบี เคย์เฮียน) ราคาหุ้นปรับลดลงจากแรงทำกำไร และความตกใจจากการที่ตัวทำปฏิกิริยา (Catalyst) ของหน่วยผลิต UHV ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามมองผลกระทบเชิงลบที่ 3% ของคาดการณ์กำไรสุทธิ ซึ่งด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่สูง โดยยังมองบริษัทมีโอกาสทำกำไรได้ดีและยังคงมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการขึ้น และการปรับลดลงเป็นโอกาสซื้อ - MTLS (ไอร่า) เป้า 34 บาท ผลการดำเนินงาน 1Q/60 มีกำไรสุทธิ 536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%QoQ และ 91%YoY หลังมีการขยายสาขาต่อเนื่องจากสิ้นปี 59 จำนวน 210 สาขา โดย ณ สิ้นมี.ค. มีจำนวน 1,874 สาขา และส่งผลให้ New Loans เติบโตสูงถึง 70%YoY ขณะที่ NPL เพิ่มขึ้นเพียง 32 ล้านบาท ทำให้ NPL Ratio อยู่ที่ 1.09% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก1.07% เมื่อ 4Q/59 และมี Provision จำนวน 146 ล้านบาท ทำให้ Coverage Ratio อยู่ที่ 265% เพิ่มขึ้นจาก 4Q/59 ซึ่งอยู่ที่ 257%  พร้อมคาด 2Q/60 กำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของสินเชื่อ ขณะที่คาด New Loans ไว้ที่ 50,000 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปี 60 ที่ 2,282 ล้านบาท หรือ 1.08 บาท/หุ้นตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ เหตุนักลงทุนวิตกการเมืองสหรัฐ ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,806.78 จุด ลดลง 113.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,107.80 จุด ลดลง 5.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,355.76 จุด เพิ่มขึ้น 19.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,019.62 จุด ลดลง 11.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,291.56 จุด ลดลง 3.77 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,220.47 จุด ลดลง 7.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,779.74 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ และนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ในระหว่างการพบปะกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย และนายเซอร์เกย์ คิซยัค ทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อกล่าวปกป้องการที่เขาได้แบ่งปันข้อมูลความลับกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยระบุว่า เขาแบ่งปันข่าวกรองดังกล่าวกับทางรัสเซีย อันเนื่องจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเขาต้องการให้รัสเซียดำเนินการมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม ISIS นักวิเคราะห์จากบริษัทเธมิส เทรดดิ้ง กล่าวว่า รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของปธน.ทรัมป์เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์อ่อนค่าหนุนฟุตซี่ปิดทะลุ 7,500 จุดครั้งแรก ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) ด้วยอานิสงส์จากการที่เงินสกุลปอนด์อ่อนค่าลง แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 ปีก็ตาม ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 67.66 จุด หรือ +0.91% ปิดที่ 7,522.03 จุด ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ดัชนี FTSE 100 ทะยานขึ้นปิดที่ระดับเหนือ 7,500 จุดได้เป็นครั้งแรก จากปัจจัยที่ค่าเงินปอนด์ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1.29 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ถึงแม้ว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส โดยอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2013 และสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% ทั้งนี้ การที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า หุ้นโวดาโฟน พุ่งขึ้น 4% หลังบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ดังกล่าว เปิดเผยรายงานคาดการณ์ว่า บริษัทจะมีผลกำไรเติบโตขึ้นในปีงบการเงินปัจจุบัน หลังจากที่ขยายตัวได้ตามเป้าหมายในปีงบการเงิน 2017 นอกจากนี้ โวดาโฟนยังประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายที่ระดับ 2% หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น โดยหุ้นบีพีและรอยัล ดัตช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.1% จากปัจจัยที่ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซียเห็นพ้องที่จะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับการผ่าทางตันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่ม ในการแก้ปัญหาภาวะน้ำมันล้นตลาด หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นอีซีเจ็ท ร่วงลง 7.3% หลังสายการบินชั้นประหยัดดังกล่าวเปิดเผยตัวเลขขาดทุนสุทธิในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ  192 ล้านปอนด์ (248 ล้านดอลลาร์) จากผลกระทบของการที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หลังยอดขายรถยนต์ยุโรปร่วง ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มรถยนต์ หลังจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปร่วงลงในเดือนเม.ย. ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า การขยายตัวของ GDP กลุ่มยูโรโซนในไตรมาส 1 ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการเบื้องต้น ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.09% ปิดที่ 395.91 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,406.10 จุด ลดลง 11.30 จุด หรือ -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,804.53 จุด ลดลง 2.51 จุด หรือ -0.02% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,522.03 จุด เพิ่มขึ้น 67.66 จุด หรือ +0.91% หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงหลังจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ร่วงลง 6.6% สู่ระดับ 1.1 ล้านคันในเดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากช่วงวันหยุดในเทศกาลอีสเตอร์ ทั้งนี้ โฟล์คสวาเกนมียอดขายร่วงลง 14% ขณะที่สัดส่วนตลาดดิ่งลงต่ำกว่า 25% ส่วนยอดขายของ BMW ลดลง 6%, เดมเลอร์ร่วงลง 2.7%, ออดี้ทรุดตัวลง 10%, เรโนลด์ลดลง 2.6% ขณะที่ยอดขายของเฟียต ไครส์เลอร์ทรงตัว หุ้นเดมเลอร์ ปรับตัวลง 0.5% หุ้น BMW ลดลง 0.8% หุ้นโฟล์คสวาเกน ดิ่งลง 0.7% และหุ้นคอนติเนนตัล ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ ร่วงลง 1% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลงหลังจากยูโรสแตทรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/60 ขยายตัวที่ระดับ 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม หุ้นโวดาโฟน ทะยานขึ้น 4% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2560 และประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล 2%ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 2.19 จุด วิตกการเมืองสหรัฐกระทบแผนปฏิรูปภาษี ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) จากความวิตกกังวลที่ว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยความวิตกกังวลล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากสื่อรายงานว่า ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลลับให้กับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน และข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,979.75 จุด ลดลง 2.19 จุด หรือ -0.01% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,400.67 จุด ลดลง 1.65 จุด หรือ -0.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,169.87 จุด เพิ่มขึ้น 20.20 จุด หรือ +0.33% ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ และนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ในระหว่างการพบปะกับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย และนายเซอร์เกย์ คิซยัค ทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเพื่อกล่าวปกป้องการที่เขาได้แบ่งปันข้อมูลความลับกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยระบุว่า เขาแบ่งปันข่าวกรองดังกล่าวกับทางรัสเซีย อันเนื่องจากเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเขาต้องการให้รัสเซียดำเนินการมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม ISIS นักวิเคราะห์จากบริษัทเธมิส เทรดดิ้งกล่าวว่า รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานของปธน.ทรัมป์เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 2 เพราะได้แรงหนุนจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2014 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% นอกจากนี้ ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่าง โฮม ดีโปท์ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดในระหว่างวันด้วย โดยราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ ปิดบวก 0.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้น 1.67 ดอลลาร์ ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.62 ดอลลาร์ ขณะที่ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.5% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.0% หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ปิดทรงตัว หลังจากฟอร์ดประกาศปรับลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงอีก 10% ตามแผนการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายมูลค่ารวม 3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ หุ้น Snap ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของจอร์จ โซรอส ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการถือหุ้นในบริษัท Snap ขณะที่หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเทสลา มอเตอร์ ดีดขึ้น 0.4% และหุ้น AMD ทะยานขึ้น 12% นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.โดยเฟดฟิลาเดลเฟีย อินโฟเควสท์









apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!