WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

lovdonภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ ชี้ Sentiment ตลาดยังรีบาวด์ได้ แต่อาจมีแรงขายทำกำไรระหว่างเทรดถ่วง

     นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวทั้งในแดนบวก-ลบไม่มาก โดยตลาดฯมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ แต่ก็จะเจอแรง take profit ระหว่างทางบ้าง

     ทั้งนี้ ผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ส่วนผลการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ก็เป็นตามคาด เช้านี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าเล็กน้อย มีแค่นักลงทุนต่างชาติที่ยังขายอยู่ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะชะลอการขายลง หลังจากที่ได้ปรับพอร์ตไปแล้ว ดังนั้นตลาดฯน่าจะอยู่ใน Sentiment ของการฟื้นตัวหรือรีบาวด์ได้ แต่ก็คงจะไปได้ไม่ไกล

      ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกเล็กน้อย พร้อมให้แนวรับ 1,553 จุด ส่วนแนวต้าน 1,565 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

    - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 มี.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,934.55 จุด ลดลง 15.55 จุด (-0.07%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,900.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.71 จุด (+0.01%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,381.38 จุด ลดลง 3.88 จุด (-0.16%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 79.25 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.93 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 87.85 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 7.76 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.39 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.40 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.24 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 28.41 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 มี.ค.60) 1,557.05 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด (+1.05%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,317.98 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 มี.ค.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 มี.ค.60) ปิดที่ 48.75 ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 มี.ค.60) ที่ 5.66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.94/97 แนวโน้มแข็งค่าต่อจากแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 34.90-35.00

        - ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) เปิดเผยว่า เจโทรได้สำรวจภาวะธุรกิจบริษัทญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย รวม 20 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยบริษัทญี่ปุ่นมองภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2560-2561

       - ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปอยู่ที่ 0.75-1% ตามความคาดหมายระหว่างการประชุมรอบล่าสุด ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งผ่านอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงาน แต่เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่เหลือในปีนี้ให้มากขึ้นตามที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้ตลาดทุนทั่วโลกตอบรับในแดนบวกจนทุบสถิติใหม่

       - ธปท.แย้ง IMF ระบุเศรษฐกิจไทยไม่ได้ติดกับดักเงินเฟ้อต่ำ ย้ำดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ 1.5% เอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ถ้าลดดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบการออมและเสถียรภาพการเงินของประเทศ ส่วนความไม่แน่นอนขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะสร้างความผันผวนต่อไป

        - กฟผ.จ่อรื้อพีดีพี 2015 ดันพลังงานทดแทนเพิ่ม 2,000 เมกะวัตต์ หวังเพิ่มสัดส่วนการผลิตของ กฟผ.ให้อยู่ในระดับ 40% ของประเทศ และรักษาเสถียรภาพด้านไฟฟ้า

*หุ้นเด่นวันนี้

     - KSL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8.30 บาท กำไรปกติ 1Q60 (พ.ย.59-ม.ค.60) ตามคาด 314 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนใน 4Q59 แต่ -10% Y-Y เพราะผู้ซื้อรับมอบน้ำตาลช้ากว่าปกติ ทำให้ปริมาณขายน้ำตาล -43% Y-Y แนวโน้มกำไรจะสดใสขึ้นใน 2Q60 (ก.พ.-เม.ย.) เพราะเข้าฤดูส่งออกน้ำตาล และมียอดขายที่เลื่อนรับรู้มาจากไตรมาสก่อน รวมถึงเป็นฤดูหีบเต็มที่ เป็นบวกต่อธุรกิจไฟฟ้าและเอทานอล และจะรับรู้รายได้จากที่ลาวและกัมพูชาซึ่งน่าจะขาดทุนลดลงหรืออาจพลิกเป็นคุ้มทุน คาดกำไรปกติปีนี้ +167% Y-Y

       - SCB (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 174 บาท คาดกำไรปี 60 ราว 5.17 หมื่นล้านบาท +9%YoY  และคาดจะ +10% เป็น 5.67 หมื่นล้านบาทในปี 61 โดยปี 60 ผู้บริหารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อที่ 4-6% มุ่งเน้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ เป้า NIM 3.1-3.3% เป้าการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยราว 3-4% จากกลยุทธ์ออกผลิตภัณฑ์ด้าน Wealth Management ให้กับลูกค้ารายย่อย ด้านคุณภาพสินทรัพย์ตั้งเป้ารักษา NPL ให้ต่ำกว่า 3%  ทิศทางการตั้งสำรองหนี้เสียปีนี้น่าจะปรับตัวลดลงปีก่อนจากภาวะเศรษฐกิจปีนี้กลับมาดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งผลให้หนี้เสียกลับมามีคุณภาพมากขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงครั้งใหญ่ในปีนี้โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีแพลทฟอร์ม

      - ADVANC (ซีไอเอ็มบีฯ) "ซื้อ"เป้า 186 บาท พานักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทไปพบนักลงทุนที่มาเลเซีย และ สิงคโปร์ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน แต่กังวลเกี่ยวกับราคาค่าใบอนุญาตที่จะสูงมากเกินไปในอนาคต ทั้งนี้ มองว่า AIS เป็นบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่ลดลง และ รูปแบบการประมูลใบอนุญาตที่ดีขึ้น

     - SPRC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 15.50 บาท คาดผลการดำเนินงานในช่วง 1Q/60 ยังคงแข็งแกร่งจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าการกลั่นของน้ำมันเบนซินในช่วง 1Q/60 YTD อยู่ที่ 15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในขณะที่คาดช่วง 1Q/60 จะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเพียงเล็กน้อย จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 51 USD/bbl จาก 54 USD/bbl ณ ปลายปี 59 พร้อมคาดผลการดำเนินงานในปี 60 จะมีกำไรสุทธิ 6,734 ล้านบาท ในขณะที่ SPRC ยังไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งผลให้มีความสามารถในการจ่ายปันผลได้สูง โดยคาดผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 7.7% (ปันผลงวด 2H/59 จำนวน 0.6446 บาท, จะขึ้น XD วันที่ 17 เม.ย. 60)

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวกทำสถิติใหม่ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นเหมือง

       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (16 มี.ค.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากอานิสงส์ของการที่สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า โดยแรงบวกดังกล่าวได้สกัดปัจจัยลบจากการที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมาก ภายหลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เมื่อวานนี้

        ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 47.31 จุด หรือ +0.64% ปิดที่ 7,415.95 จุด

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ นำโดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ซึ่งพุ่งขึ้น 8.6% หลังบริษัทวอลแคน อินเวสต์เมนต์ เผยว่าจะซื้อหุ้นในแองโกล อเมริกัน 12% ซึ่งจะทำให้วอลแคนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2 ของบริษัทเหมืองยักษ์ใหญ่ดังกล่าว

     หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส พุ่ง 3.2% หุ้นเฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 3.9% หุ้นแอนโตฟากาสตา พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน เพิ่มขึ้น 2.6% หุ้นเกลนคอร์ พุ่ง 5% และหุ้นริโอ ตินโต เพิ่มขึ้น 3.2%

      บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ยังรับปัจจัยจากผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งมีมติเห็นพ้องให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

       นอกจากนี้ BoE ยังมีมติให้คงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ และคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์

    หลัง BoE ออกแถลงการณ์ผลการประชุม สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.47% สู่ระดับ 1.2349 ดอลลาร์ และแข็งค่า 0.62% สู่ระดับ 0.8676 ยูโร ณ เวลา 19.31 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลเลือกตั้งเนเธอร์แลนด์

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 มี.ค.) ขานรับผลการเลือกตั้งเบื้องต้นของเนเธอร์แลนด์ซึ่งระบุว่า พรรค VVD ของนายมาร์ค รุตเต นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ มีชัยชนะเหนือนายเกิร์ต ไวล์เดอร์ส นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.7% ปิดที่ 377.73 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2558

       ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,013.38 จุด เพิ่มขึ้น 27.90 จุด หรือ +0.56% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,083.18 จุด เพิ่มขึ้น 73.31 จุด หรือ +0.61% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,415.95 จุด เพิ่มขึ้น 47.31 จุด หรือ +0.64%

       ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากผลการนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า พรรค VVD ของนายมาร์ค รุตเต นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ สามารถกวาดที่นั่งได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งเนเธอร์แลนด์ แซงหน้าพรรคการเมืองคู่แข่งอย่างพรรค PVV ของนายเกิร์ต ไวล์เดอร์ส รวมทั้งพรรค CD และพรรค D66

       นักลงทุนคลายความวิตกกังวลหลังจากผลนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า นายเกิร์ต ไวล์เดอร์ส ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ทรัมป์" แห่งเนเธอร์แลนด์ ได้พ่ายแพ้ต่อนายมาร์ค รุตเต เนื่องจากนายไวด์เดอร์สมีนโยบายต่อต้านมุสลิม และให้คำมั่นว่า จะปิดมัสยิด และดึงเนเธอร์แลนด์ออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ภายใต้คำขวัญที่ว่า "make the Netherlands ours again"

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากที่ประชุมเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.75-1.00% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 8.6% หลังจากบริษัทวอลแคน อินเวสต์เทนท์ ของมหาเศรษฐีเอนิล อาการ์วอล ได้เข้าซื้อหุ้น 12% ในแองโกล อเมริกัน

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วง ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 15.55 จุด

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสนอให้มีการตัดงบประมาณด้านการวิจัยทางการแพทย์ และเสนอให้เพิ่มกฎระเบียบในการอนุมัติการผลิตยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขสร้างบ้านที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.พ.

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,934.55 จุด ลดลง 15.55 จุด หรือ -0.07% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,900.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.71 จุด หรือ +0.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,381.38 จุด ลดลง 3.88 จุด หรือ -0.16%

       ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ หรือ กลุ่มเฮลธ์แคร์ ร่วงลงราว 1% หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอให้มีการเพิ่มระเบียบขั้นตอนในการอนุมัติการผลิตยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งตัดงบประมาณขององค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้บรรดาบริษัทผลิตยาประสบกับความยุ่งยากมากขึ้นในการขออนุมัติเพื่อการผลิตและจำหน่ายยาในสหรัฐ

      หุ้นไบโอเจน ร่วงลง 4.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หลังจากนักวิเคราะห์จากสถานบันการเงินสองแห่งได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นไบโอเจน

      นักวิเคราะห์จากเวลส์ ฟาร์โก ฟันด์ เมเนจเมนท์กล่าวว่า แม้มีการตั้งข้อสังเกตุว่าข้อเสนอดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส แต่ข่าวดังกล่าวก็สร้างความวิตกกังวลและกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์

        ส่วนหุ้นบริษัทรายใหญ่บางรายได้ปรับตัวลง และเป็นปัจจัยที่กดดันให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดซบเซาลงด้วย โดยหุ้นดูปองท์ ร่วงลง 1.1% หุ้นเชฟรอน ปรับลง 0.9% และหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ลดลง 0.8%

        อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 241,000 ราย ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.29 ล้านยูนิต ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.26 ล้านยูนิต

      ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐมีความสอดคล้องกับมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ว่า เศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

      หุ้นโกโปร ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปขนาดเล็ก ทะยานขึ้น 16% หลังจากบริษัทประกาศลดการจ้างงาน พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าประสิทธิภาพในการทำกำไรในปีนี้จะสูงขึ้น

      หุ้นออราเคิล บริษัทซอฟท์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 4/2559

     หุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล คอร์ป ผู้ประกอบการห้างค้าปลีก ดีดตัวขึ้น 0.6% หลังจากเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2559 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

     นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

          อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!