WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET11ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวด์ตามภูมิภาคหลังเฟดขึ้นดบ.ตามคาด, เล็งกลุ่มพลังงานนำขานรับน้ำมันขึ้น

      นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างดีดตัวขึ้นกันทั่วหน้าเฉลี่ยเกือบ 1% หลังจากที่ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นไปตามคาด โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ตลาดฯก็คงคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

        ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งทำให้น่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในเอเชีย และเข้ามาที่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยราคาน้ำมันก็รีบาวด์ขึ้นมาด้วย ทำให้วันนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานน่าจะขึ้นนำตลาดฯ

พร้อมให้แนวต้าน 1,550-1,555 จุด ส่วนแนวรับ 1,537 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 มี.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,950.10 จุด เพิ่มขึ้น 112.73 จุด (+0.54%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,900.05 จุด เพิ่มขึ้น 43.23 จุด (+0.74%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,385.26 จุด เพิ่มขึ้น 19.81 จุด (+0.84%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 118.68 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.40 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 309.13 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 28.54 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 21.98 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 17.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 8.98 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 มี.ค.60) 1,540.80 จุด ลดลง 2.35 จุด (-0.15%)

      - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,487.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มี.ค.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 มี.ค.60) ปิดที่ 48.86 ดอลลาร์/บาร์เรล  พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 2.4%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 มี.ค.60) ที่ 5.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 35.06 แข็งค่าตามภูมิภาค จากแรงขายดอลล์ขานรับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

                - เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 เม.ย.นี้ จะมีการหารือถึงแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โดยวาระสำคัญจะพิจารณาใช้งบประมาณในปี 2562 ของโครงการ วงเงินประมาณ 8,000 ล้านบาท มาปรับใช้ในโครงการก่อน ซึ่งตามแผนจะมีการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิมที่รับได้ปีละ 3 ล้านคน เป็นปีละ 15 ล้านคน ภายใน 5 ปี

                - แหล่งข่าวจากสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2560 โดยรวมในรอบ 5 เดือน (ต.ค. 2559-28 ก.พ. 2560) โดยรวมส่วนราชการได้เบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 1.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.69% ของงบประมาณทั้งหมด 2.73 ล้านล้านบาท

                - บอร์ด กทค.ไฟเขียวส่งข้อมูล สตง.ช่วยตรวจสอบจำนวนเงินที่ทรูมูฟต้องจ่ายหลังสิ้นสุดสัมปทานใช้คลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ชี้ กทค.พิจารณาช้า ดูมา 3 ปี ยังไม่สรุป เหตุกลัวโดนฟ้องกลับ พร้อมอนุมัติเลิกผู้มีอำนาจเหนือตลาดทรู อินเตอร์เน็ต

                - กนอ.ลุ้น ครม.ไฟเขียวมาตรการเช่าที่ดินนิคมฯ สระแก้ว ภายใน มี.ค.นี้ เปิดโปรโมชั่นฟรีค่าเช่ากระตุ้นการลงทุน เผยเตรียมเปิดนิคมฯ อย่างเป็นทางการ เดือน มิ.ย.60 นี้ คาดนักลงทุนเข้าก่อสร้างได้เดือน เม.ย.เป็นต้นไป

*หุ้นเด่นวันนี้

                - KOOL (ไอร่า) เป้า 8.20 บาท คาดยอดขายจะเติบโตดีขึ้นตามลำดับในช่วงไตรมาส 1 เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. หลังตัวแทนจำหน่ายมีคำสั่งซื้อสินค้า เพื่อเตรียมขายในช่วงฤดูร้อน ขณะที่ไตรมาส 2 ยอดขายได้รับประโยชน์จากช่วง High Season ของทุกปีที่เป็นฤดูร้อน ขณะที่มีการขยายช่องทางการจำหน่าย โดยเฉพาะ Modern Trade ที่มียอดขายมากที่สุด ปัจจุบันมี 520 สาขา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 240 สาขา เมื่อปลายปี 59 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการขยายเข้าไปในห้างสรรพสินค้า Big C และ Tesco Lotus ได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ Export ที่มีแนวโน้มเติบโตดีเช่นกัน หลัง KOOL ออกงานแสดงสินค้าที่ประเทศจีนต่อเนื่อง โดยเริ่มเป็นสัญญาณบวกจากยอดส่งออกในงวด 4Q/59 เติบโตราว 60% ด้านผลการดำเนินงานในปี 60 ยังเติบโตโดดเด่น คาดรายได้ขาย 1,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 47% และคาดกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 50% อยู่ที่ 130 ล้านบาท

                - SWC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14.70 บาท ได้รับอนุมัติให้วางขายสินค้ากลุ่มทำความสะอาดเครื่องใช้สำหรับเด็ก (TEEPOL Baby) ในเซ็นทรัล จากเดิมที่ได้วางในท็อปส์ เริ่มจำหน่ายเม.ย. นี้ ส่วนยอดขายสินค้ากำจัดแมลงในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นโดดเด่นจาก 10% ของรายได้รวมในปีก่อนเป็น 15% SWC ได้อานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่าและราคาน้ำมันลดลง โดยคาดกำไรปีนี้ +38% Y-Y ปัจจุบันมี PE เพียง 10 เท่า พร้อมคาดจ่ายปันผล 0.25 บาท/หุ้นงวด 2H59 (yield 2.1%)

ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

                ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ขานรับตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งนี้ปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

                ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเวลาประมาณ 9.15 น.ตามเวลาโตเกียว

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,458.70 จุด ลดลง 118.68 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,247.16 จุด เพิ่มขึ้น 5.40 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,101.98 จุด เพิ่มขึ้น 309.13 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,768.85 จุด เพิ่มขึ้น 28.54 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,154.98 จุด เพิ่มขึ้น 21.98 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,155.32 จุด เพิ่มขึ้น 17.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,726.34 จุด เพิ่มขึ้น 8.98 จุด

                ทั้งนี้ ที่ประชุมเฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9-1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.75-1.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นบลูชิพหนุนฟุตซี่ปิดบวก 10.79 จุด

                ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มบลูชิพ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดหุ้นถูกสกัดในระหว่างวันจากความวิตกของนักลงทุน ภายหลังจากรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่า ค่าแรงในอังกฤษมีการขยายตัวช้าลงจากสาเหตุเงินเฟ้อ

                ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 10.79 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 7,368.64 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้แรงหนุนจากหุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ โดยหุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคอล บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ พุ่งขึ้น 8% หลังบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล

                หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ขยับขึ้น 0.6% หลังรัฐบาลเปิดเผยว่า ได้ตัดขายหุ้นในธนาคารเหลือถือครองประมาณ 2.95%

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นจากอานิสงส์สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า โดยหุ้นเกลนคอร์ พุ่ง 2.9% หุ้นแอนโตฟากาสตา พุ่งขึ้น 2.3% และหุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 1.2%

                ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ ขยับขึ้น 0.3% ขณะที่หุ้นบีพี ขยับลง 0.2%

                อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ถูกสกัดให้ลดช่วงบวกในระหว่างวัน หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยรายงานว่า การขยายตัวของเงินเฟ้อในประเทศกำลังส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของค่าจ้างแรงงานชาวอังกฤษ โดยค่าแรงมีการขยายตัวเพียง 0.8% ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุด ณ เดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2014

                ขณะที่อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1975 โดยตัวเลขดังกล่าวมีการเปิดเผยก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้ตามเวลาอังกฤษ

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ตลาดจับตาประชุมเฟด-เลือกตั้งเนเธอร์แลนด์

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว พร้อมกับจับตาผลการเลือกตั้งเนเธอร์แลนด์

                ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 375.10 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,985.48 จุด เพิ่มขึ้น 11.22 จุด หรือ +0.23% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,009.87 จุด เพิ่มขึ้น 21.08 จุด หรือ +0.18% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดาสุดที่ 7,368.64 จุด เพิ่มขึ้น 10.79 จุด, +0.15%

                หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยดัชนี SXEP ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานและก๊าซ ทะยานขึ้น 1.1% หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงสู่ระดับ 529.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้น

                หุ้น E.ON ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของเยอรมนี ร่วงลง 3.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขาดทุนในไตรมาส 4/2559

                ขณะที่หุ้น H&M ห้างค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นของสวีเดน ร่วงลง 5.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 8% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

                หุ้นโฟล์คสวาเกน ปรับตัวลง 0.8% หลังจากบริษัทโฟล์คสวาเกน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่อัยการได้เข้าตรวจค้นสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่เมืองวูล์ฟบวร์ก เยอรมนี และยังได้เข้าตรวจค้นโรงงาน และสำนักงานใหญ่ของบริษัทออดี้ ซึ่งเป็นรถยนต์ในเครือของโฟล์คสวาเกน ที่เมืองอินโกลสตัดท์ และเมืองเนคคาร์ซูล เพื่อหาเบาะแสพัวพันคดีการโกงการตรวจจับมลพิษจากไอเสียของรถยนต์ดีเซล

                การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการโกงการตรวจไอเสียของบริษัทโฟล์คสวาเกน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในเดือนก.ย.2015

                นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟด โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะแถลงผลการประชุมหลังจากที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว ขณะที่มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า พรรค People’s Party for Freedom and Democracy (VVD) ของนายมาร์ค รุตเต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเนเธอร์แลนด์ มีคะแนนนำเหนือพรรคอื่นๆ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 112.73 จุด รับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

            ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งนี้ปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,950.10 จุด เพิ่มขึ้น 112.73 จุด หรือ +0.54% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,900.05 จุด เพิ่มขึ้น 43.23 จุด หรือ +0.74% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,385.26 จุด เพิ่มขึ้น 19.81 จุด หรือ +0.84%

                ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากที่ประชุมเฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9-1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.75-1.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน

                แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 2.1% ในปีนี้ และปีหน้า ก่อนที่จะชะลอลงสู่ 1.9% ในปี 2019 ส่วนตัวเลขอัตราการว่างงาน คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 4.5% ในช่วงสิ้นปีนี้ และจะทรงตัวที่ระดับดังกล่าวจนถึงปี 2019 นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.9% ในปีนี้ จากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวเข้าใกล้ระดับ 2%

                ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และปรับขึ้น 3 ครั้งในปีหน้า

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดย-สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านพุ่งขึ้น 6 จุดในเดือนมี.ค. แตะระดับ 71 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 ปี

                ทางด้านเฟดสาขานิวยอร์กรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวติดต่อกัน 5 เดือนในมี.ค. โดยดัชนีภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 16.4 ในเดือนมี.ค.

                หุ้น MSCI พุ่งขึ้น 3.1% หลังจากบริษัทได้ปฏิเสธข้อเสนอการควบรวมกิจการจาก S&P Global เนื่องจากราคาเสนอซื้อต่ำเกินไป

                หุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 5.8% หลังจากซิตี้กรุ๊ปได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว

                ขณะที่หุ้นเอทีแอนด์ที ปรับขึ้น 1.2% หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรปได้อนุมัติให้เอทีแอนด์ทีเข้าซื้อกิจการไทม์ วอร์เนอร์ อิงค์ ในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นไทม์ วอเนอร์ ดีดตัวขึ้น 0.4%

                นักลงทุนจับตาเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!