WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET18ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์หลังยังไร้ปัจจัยเด่นชัด,รอดูนโยบายศก.-แผนลดภาษีของทรัมป์

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,560-1,575 จุด เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยอะไรเด่นชัด ขณะเดียวกันก็ยังรอดูนโยบายเศรษฐกิจ และแผนลดภาษี ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

     อย่างไรก็ดี เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นก็น่าจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานให้ฟื้นขึ้นได้ และช่วงนี้เป็นช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นก็คงจะมีการเล่นเก็งกำไรตามงบฯกัน

     ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบเล็กน้อยเฉลี่ย 0-0.1% โดยคืนนี้ก็จะมีตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ และยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะต้องติดตามดู แต่ส่วนใหญ่จะรอดูในวันที่ 28 ก.พ.ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,810.32 จุด เพิ่มขึ้น 34.72 จุด (+0.17%),  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,835.51 จุด ลดลง 25.12 จุด (-0.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,363.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด (+0.04%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 139.35 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 4.52 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.75 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 11.64 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 1.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 1.33 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.00 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 6.61 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ก.พ.60) 1,567.32 จุด ลดลง 4.72 จุด (-0.30%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 78.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ก.พ.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ก.พ.60) ปิดที่ 54.45 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.6%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ก.พ.60) ที่ 6.28 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.94/99 แนวโน้มยังแกว่งแคบ นลท.รอดูตัวเลขศก.สหรัฐฯสำคัญในสัปดาห์หน้า

                - นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้มาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้งระบบ แต่โดยภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ขณะที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย จึงต้องหาเครื่องมือเสริมให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเชื่อว่าจะสามารถปรับตัวได้

                - รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และรายงานผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (อีเอชไอเอ) โรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ว่าจะเริ่มต้นใหม่หรือจะรับแนวทางคำตอบต่อประเด็นคำถามกว่า 200 ข้อ ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ระหว่างปรับปรุงคำตอบ รวมถึงคำตอบต่อข้อสังเกตของคณะกรรมการไตรภาคี

                - กระทรวงพาณิชย์ได้รับอนุมัติงบประมาณกลางจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจฐานรากทั้งหมด ซึ่งในงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทนั้น จะจัดสรรงบประมาณจำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้พัฒนา 4 ตลาดหลัก ตามนโยบายของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ผลักดันตลาดกลาง เช่น ตลาดกลางสินค้า ตลาดสินค้าอัตลักษณ์ (ตลาดนิวเอสเคิร์ฟ) และตลาดชุมชนประชารัฐ โดยได้เพิ่มอีก 1 ตลาด คือ ตลาดต้องชม และนำมาเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อสร้างจุดขายให้กับตลาดเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรงตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่น

                - ธปท.เผยเงินไหลเข้าไทยจากมุมมองต่างชาติเชื่อไทยเป็นแหล่ง Safe Haven พร้อมใช้เครื่องมือและมาตรการต่างๆ ในยุคผันผวน ชี้ปี 60 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 4% ระบุดอกเบี้ยตลาดการเงินไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว

                - นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า คลังจะเสนอลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือ 17% สำหรับคนที่เข้ามาทำงานในโครงการที่รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี และต้องเป็นโครงการใน 10 อุตสาหกรรมใหม่ที่รัฐบาลส่งเสริม

*หุ้นเด่นวันนี้

                - CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 74 บาท กำไรสุทธิ 4Q59 ดีกว่าเราและตลาดคาด +4.5% Q-Q, +10.9% Y-Y ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 4.3 พันล้านบาท แม้ว่า SSSG จะติดลบเล็กน้อย -1% Y-Y แต่การเปิดสาขาใหม่ 131 แห่ง และมีรายได้จากช่องทางอื่นมาชดเชยการหยุดขายบัตรเติมเงิน AIS ได้ รวมทั้งกำไรของ MAKRO ออกมาดี ทำให้กำไรสุทธิทั้งปี +22% Y-Y โดยคาดกำไรปีนี้โตต่อเนื่อง 18.4% Y-Y

                - MALEE (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 130 บาท จากปัจจัยสำคัญ คือ ยอดขายต่างประเทศที่คาดว่าจะเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง หลังจากปี 59 เพิ่มขึ้นถึง 67%

                - BANPU(โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 21.75 บาท รายงานกำไรปี 59 ที่ 1.68 พันลบ. เติบโต เทียบกับปี 58 ขาดทุน 1.53 พันลบ. 109%YoY พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 0.25 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 10 เม.ย.

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ หลังผิดหวังข้อมูลศก.สหรัฐ

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยการนำของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐได้ฉุดหุ้นส่งออกร่วงลง

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,232.11 จุด ลดลง 139.35 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,246.86 จุด ลดลง 4.52 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,115.61 จุด เพิ่มขึ้น 0.75 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,757.67 จุด ลดลง 11.64 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,106.43 จุด ลดลง 1.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,136.24 จุด ลดลง 1.33 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,706.48 จุด เพิ่มขึ้น 2.00 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,328.95 จุด ลดลง 6.61 จุด

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปรับตัวขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 244,000 ราย  ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 241,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

     ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงเทขายหุ้นธนาคาร-เหมืองฉุดฟุตซี่ปิดลบ 30.88 จุด

   ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (23 ก.พ.) ด้วยแรงฉุดจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะธนาคารบาร์เคลย์ส ซึ่งร่วงลงอย่างหนัก หลังธนาคารเผยผลกำไรต่ำกว่าคาดการณ์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกด้วยว่า ทางธนาคารยังไม่สามารถยุติคดีความกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐในข้อหาฉ้อโกงการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2008

      ดัชนี FTSE 100 ลดลง 30.88 จุด หรือ -0.42% ปิดที่ 7,271.37 จุด

     หุ้นกลุ่มธน              าคารปรับตัวลง โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ร่วง 2.6% หลังธนาคารเปิดเผยว่า กำไรสุทธิของธนาคารอยู่ที่ระดับ 1.62 พันล้านปอนด์ (2.02 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2559 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.97 พันล้านปอนด์

     นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ตลาดจากซีเอ็มซี มาร์เก็ต มองด้วยว่า นักลงทุนได้เทขายหุ้นบาร์เคลย์ส เนื่องจากมีความวิตกเกี่ยวกับคดีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ฟ้องร้องว่า บาร์เคลย์สได้หลอกลวงนักลงทุนในเรื่องคุณภาพของสินเชื่อที่หลักทรัพย์ MBS มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ใช้อ้างอิงในช่วงปี 2005-2007

      หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ขยับลง 0.8% และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ขยับลง 0.2% หลังรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลได้ลดการถือครองหุ้นในธนาคารลอยด์ลงเหลือต่ำกว่า 4%

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงเกือบทั้งกระดาน จากแรงกดดันของราคาทองแดงที่ปรับตัวลง โดยหุ้นแอนโตฟากาสต้า ร่วงลง 3.1% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วง 3% และหุ้นริโอ ตินโต ลดลง 2.6%

    อย่างไรก็ตาม หุ้นเกลนคอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตโลหะรายใหญ่ พุ่งขึ้น 1.7% หลังบริษัทเผยว่ามีผลกำไรรายปีที่ระดับ 1.4 พันล้านดอลลาร์ ด้วยแรงหนุนจากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น

     ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ยังรับปัจจัยลบจากการที่สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนให้ปรับตัวลง โดยค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ โดยเฉพาะนโยบายปฏิรูประบบภาษีและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งแทบจะไร้ความคืบหน้า

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 ก.พ.) หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่บางแห่งได้เปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันหลังจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.1%  372.85 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,891.29 จุด ลดลง 4.59 จุด, -0.09% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,947.83 จุด ลดลง 50.76 จุด, -0.42% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,271.37 จุด ลดลง 30.88 จุด, -0.42%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. โดยเจ้าหน้าที่เฟดได้แสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และเห็นสมควรที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้

     อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่าเฟดมีความระมัดระวังที่จะระบุถึงกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป และคาดว่าเฟดน่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

      ตลาดได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารบาร์เคลย์สเปิดเผยว่า กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 1.62 พันล้านปอนด์ (2.02 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2559 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.97 พันล้านปอนด์ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นบาร์เคลย์สปิดตลาดร่วงลง 2.6%

     หุ้นเวโอเลีย เอ็นไวรอนเมนท์ ดิ่งลง 5.8%หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2560

     หุ้นเปอร์โยต์ร่วงลง 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ลดลง 1.1% สู่ระดับ 5.4 หมื่นล้านยูโร ในปี 2559

     อย่างไรก็ตาม หุ้นเทเลโฟนิกา ดีดตัวขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4/2559

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 34.72 จุด รับ ทรัมป์ ให้คำมั่นกระตุ้นจ้างงาน

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ก.พ.) โดยดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 10 หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นกับบรรดาผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมหารือที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะนำการจ้างงานหลายล้านตำแหน่งกลับสู่สหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า เขาจะผลักดันให้กฎหมายปฏิรูปภาษีผ่านสภาคองเกรสก่อนจะปิดสมัยประชุมสภาในเดือนส.ค.

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,810.32 จุด เพิ่มขึ้น 34.72 จุด หรือ +0.17% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,835.51 จุด ลดลง 25.12 จุด หรือ -0.43% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,363.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด หรือ +0.04%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐกว่า 20 แห่งเมื่อวานนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับอุปสรรคในการสร้างงานในสหรัฐ โดยในการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ให้คำมั่นว่าเขาจะนำการจ้างงานหลายล้านตำแหน่งกลับสู่สหรัฐ

      ในบรรดาผู้บริหารที่เข้าประชุมกับทรัมป์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทล็อคฮีท มาร์ติน, ดาว เคมีคัล, ฟอร์ด มอเตอร์ และแคเตอร์พิลลาร์ อิงค์

     ขณะเดียวกัน ตลาดยังขานรับรัฐมนตรีคลังสหรัฐที่ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้กฎหมายปฏิรูปภาษีผ่านสภาคองเกรสก่อนจะปิดสมัยประชุมสภาในเดือนส.ค.

     ทั้งนี้ นายมนูชินกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC ว่า รัฐบาลพุ่งเป้าการปรับลดภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และจะปฏิรูปภาษีให้มีความเรียบง่ายขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ พร้อมระบุว่า หากมีการปรับลดภาษีสำหรับคนรวย รัฐบาลก็จะมีการออกมาตรการปิดช่องโหว่ที่จะเอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน โดยจะมีการลดการหักลดหย่อนภาษี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ

      นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากมุมมองที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. เมื่อพิจารณาจากรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. ซึ่งเฟดมีความระมัดระวังที่จะระบุถึงกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป

     หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นทรานส์โอเชียน ทะยานขึ้น 7.8% และหุ้นวาเลโร เอ็นเนอร์จี ดีดขึ้น 1.6%

       หุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด (HP) พุ่งขึ้น 8.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

       หุ้นแอล แบรนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Victoria`s Secret และ Bath & Body Works  ร่วงลงอย่างหนักถึง 15.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเดือนก.พ.ที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ชุดชั้นใน Victoria`s Secret

      ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวันจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปรับตัวขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 244,000 ราย  ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 241,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

      นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!