- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 16 February 2017 22:32
- Hits: 19892
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้คาดรีบาวด์หลังคลายกังวลง AOT-ดอลลาร์ชะลอแข็งค่า-ลุ้นปันผล
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะยืนได้ถึงรีบาวด์ขึ้น เนื่องจากคลายความกังวลเรื่องของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หลังจากที่บริษัทฯได้ชี้แจงว่าจะยังใช้โครงสร้างค่าเช่าเดิมกับกรมธนารักษ์ อาจทำให้ราคาหุ้น AOT ดีดกลับขึ้นไปได้หลังจากร่วงแรงเมื่อวานนี้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯชะลอการแข็งค่า ทำให้ลดความผันผวนลงไป ขณะที่ช่วงนี้ก็เป็นช่วงของการประกาศจ่ายปันผลน่าจะช่วยให้เกิดแรงซื้อได้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นติดลบ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มอ่อนค่าลง ขณะที่เงินเยนแข็งค่า อย่างไรก็ดี ยังคงติดตามรอดูความชัดเจนแผนลดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,560-1,565 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,611.86 จุด พุ่งขึ้น 107.45 จุด (+0.52%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,819.44 จุด เพิ่มขึ้น 36.87 จุด (+0.64%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,349.25 จุด เพิ่มขึ้น 11.67 จุด (+0.50%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 6.37 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.63 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 144.44 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 27.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.23 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.36 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.18 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ก.พ.60) 1,573.37 จุด เพิ่มขึ้น 1.13 จุด (+0.07%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,538.01 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ก.พ.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 ก.พ.60) ปิดที่ 53.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ก.พ.60) ที่ 7.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.01 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเย็นวาน
- ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เห็นสัญญาณธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าดูแลค่าเงินบาทในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากทุนสำรองใหมระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 หมื่นล้านบาท หลังจากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หาก ธปท.ไม่ดูแลค่าเงินบาทอาจแข็งค่ามากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะกระทบกับความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกและนำเข้า
- รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสัญญาเช่าที่ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ทำธุรกิจโรงไฟฟ้ากังหันลม (วินด์ฟาร์ม) ของเอกชน 17 ราย ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน โดยให้ตรวจสอบให้ครบทุกประเด็นทั้งเรื่องสัญญาเช่า การใช้ประโยชน์ที่ดิน การช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ รวมถึงตรวจสอบสัญญาของเอกชนกับ ส.ป.ก. และตรวจสอบเกษตรกรว่าได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ จากนั้นจะต้องได้ข้อยุติว่าจะเดินหน้าอย่างไร เพราะหากจะบอกเลิกก็ต้องทำให้ถูกต้องเพื่อป้องกันความเสียหายของภาครัฐจากการถูกฟ้องกลับ
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงที่ผ่านมา 2 ครั้ง ส่งผลให้มีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนพันธบัตรในตลาดโลก และมีผลให้ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกปีนี้น่าจะขยับสูงขึ้นมากกว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา
*หุ้นเด่นวันนี้
- MEGA (กสิกรไทย) เป็นหนึ่งในหุ้น Top picks จากคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิแข็งแกร่งถึง 18% ในปี 59-61 และมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจซื้อขายที่ PER เพียง 20.8 เท่าในปี 60 หรือคิดเป็น 0.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐจะเป็นประโยชน์ต่อ MEGA เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกซึ่งรับเงินในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก
- SNC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 20 บาท ผ่านปีที่ยากลำบากไปแล้ว จากค่าใช้จ่ายในการย้ายโรงงานไปอยู่ที่เดียวกันที่ระยอง กำไรปี 59 -2% Y-Y แต่จะกลับมาฟื้นแข็งแกร่งในปีนี้ คาดกำไร +19% Y-Y จากการผลิตที่กลับสู่ภาวะปกติ และธุรกิจผลิต Aluminum Condenser ของบริษัทลูกเริ่มฟื้นเพราะลูกค้าหันมาใช้อลูมิเนียมเพิ่มขึ้นหลังราคาทองแดงปรับขึ้นเร็ว ปัจจุบันมี PE 9.5 เท่า หรือ PEG เพียง 0.5 เท่า
- TOP (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 89 บาท ผลงาน 4Q/59 กำไรสุทธิ 5,802 ล้านบาท จากส่วนต่างการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น และยังคงมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงในช่วง 1Q/60 โดยเฉพาะค่าการกลั่นของน้ำมันเบนซินและดีเซล ประกอบกับมีผลกำไรจากสต็อกน้ำมัน 3,753 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี น้ำมันหล่อลื่นและยางมะตอย ผลงานอ่อนตัวลง พร้อมคาดปี 60 ยังคงโดดเด่น ขณะที่จะมีกำไรจากโรงไฟฟ้า SPP และโครงการ LAB เข้ามาเสริม คาดผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.1%
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ หลังตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีหลักทั้ง 3 ในตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ขานรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการปรับลดภาษีและลดกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรม
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,431.61 จุด ลดลง 6.37 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,210.36 จุด ลดลง 2.63 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,139.31 จุด เพิ่มขึ้น 144.44 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,826.89 จุด เพิ่มขึ้น 27.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,088.09 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,088.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,707.61 จุด ลดลง 2.18 จุด
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับนางเยลเลนที่ได้เข้าแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ ซึ่งเธอยังคงแสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าทางยุโรป ขณะที่เฟดได้ใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งช่วยปกป้องสถาบันการเงินและหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งยังช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคา
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงซื้อหุ้นแบงก์หนุนฟุตซี่ปิดบวก 33.85 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำสถิติที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นการเงินที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการแถลงต่อสภาคองเกรส
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 33.85 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 7,302.41 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มประกันภัยที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า หลังจากที่นางเยลเลน ได้แถลงต่อสภาคองเกรสว่า เฟดไม่ควรรอเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนานเกินไป เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยนั้น จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคธนาคาร เนื่องจากพวกเขาจะมีรายได้จากการเก็บดอกเบี้ยจากการกู้ยืมได้มากขึ้น
หุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่ง 2.1% และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.5%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ขยับขึ้น 0.3% หลังบริษัทแองโกล อเมริกัน พลาตินัมในแอฟริกาใต้ ซึ่งมีแองโกล อเมริกัน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เผยว่า บริษัทกลับมามีผลกำไรในปี 2559 สืบเนื่องจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ
หุ้นอื่นๆ ที่น่าจับตา หุ้นทียูไอ เอจี ร่วง 2.7% หลังบริษัทผู้ให้บริการท่องเที่ยวรายใหญ่แห่งนี้ เผยว่า บริษัทขาดทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีการเงิน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ อังกฤษเผยว่า อัตราว่างงานในอังกฤษอยู่ที่ระดับ 4.8% ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548
ขณะที่อัตราการขยายตัวของค่าแรงชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.7% ส่วนราคาผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 1.8% ในเดือนม.ค. หลังจากที่ขยายตัว 1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เงินเฟ้อเริ่มส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของค่าแรงในอังกฤษ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก หุ้นแบงก์พุ่งรับเยลเลนส่งสัญญาณขึ้นดบ.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในการแถลงรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรส
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 371.47 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,924.86 จุด เพิ่มขึ้น 29.04 จุด หรือ +0.59% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,793.93 จุด เพิ่มขึ้น 22.12 จุด หรือ +0.19% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.41 จุด เพิ่มขึ้น 33.85 จุด หรือ +0.47%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น หลังจากนางเยลเลนกล่าวว่า การรอเป็นเวลานานเกินไปเพื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอาจทำให้เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะเสี่ยงต่อการกระทบตลาดการเงิน และฉุดเศรษฐกิจให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
นอกจากนี้ ประธานเฟดยังได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%
ทั้งนี้ หุ้นดอยซ์ แบงก์ พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ปรับตัวขึ้น 1.3% หุ้นยูบีเอส กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นบีบีวีเอ ทะยานขึ้น 3.2% ส่วนหุ้นเครดิต อากริโคล พุ่งขึ้น 4.8%
หุ้นไฮเนเกน พุ่งขึ้น 3.7% หลังจากบริษัทยังสามารถทำกำไรได้ดีในปี 2559 แม้ต้องเผชิญอุปสรรคจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังจากที่ตลาดปิดเกือบทรงตัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ภายหลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีการขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระดับ 0.5% โดยได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 107.45 จุด รับทรัมป์ย้ำลดภาษี,ข้อมูลศก.สดใส
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ขานรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการปรับลดภาษีและลดกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และถ้อยแถลงในวันที่สองของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้แสดงมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,611.86 จุด พุ่งขึ้น 107.45 จุด หรือ +0.52% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,819.44 จุด เพิ่มขึ้น 36.87 จุด หรือ +0.64% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,349.25 จุด เพิ่มขึ้น 11.67 จุด หรือ +0.50%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารของกลุ่มบริษัทค้าปลีกที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ โดยเขาให้คำมั่นที่จะปรับลดภาษี และจะปรับลดกฎระเบียบทั่วภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกฎระเบียบดังกล่าวได้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมากต่อภาคธุรกิจ
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะลดกฎระเบียบเพื่อให้เกิดการสร้างงาน โดยการปฏิรูปภาษีถือเป็นหนึ่งในโอกาสดีที่สุดที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ พร้อมระบุว่า การจัดเตรียมแผนการด้านภาษีของรัฐบาลกำลังเป็นไปด้วยดี และจะมีการประกาศออกมาในไม่ช้า
ตลาดยังขานรับนางเยลเลนที่ได้ได้เข้าแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ ซึ่งเธอยังคงแสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าทางยุโรป ขณะที่เฟดได้ใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งช่วยปกป้องสถาบันการเงิน และหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ในการแถลงวันที่สองนี้ ประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับในการแถลงวันแรกต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.1%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังระบุด้วยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่ยอดขายในภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 2% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2011
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.3%
หุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้น หลังจากมีรายงานว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เพิ่มการถือครองหุ้นในสายการบินหลายแห่ง โดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล ปรับขึ้น 2.7% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ทะยานขึ้น 2.1%
หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากนายบัฟเฟตต์ได้เพิ่มการถือครองหุ้นในบริษัทแอปเปิล อิงค์ เช่นกัน โดยรายงานระบุว่า หากราคาหุ้นแอปเปิลปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าหุ้นแอปเปิลที่นายบัฟเฟตต์ถือครองอยู่นั้น อาจจะเพิ่มขึ้น 1.1 พันล้านดอลลาร์ จากระดับที่เขาถือครองในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นฟอร์เทรส อินเวสท์เมนท์ ทะยานขึ้น 29% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทซอฟท์แบงค์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสัญชาติญี่ปุ่น เตรียมเข้าซื้อกิจการฟอร์เทรส อินเวสท์เมนท์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนสัญชาติอเมริกัน คิดเป็นมูลค่าราว 3.3 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (AIG) บริษัทประกันรายใหญ่ ร่วงลง 9% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 3.04 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.96 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 โดยสาเหตุหลักนั้นมาจากการตั้งสำรองสินไหมเป็นวงเงินสูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์
หุ้นเป๊ปซี่โค ปรับตัวลง 0.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 1.40 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 หรือ 0.97 ดอลลาร์/หุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2015 ซึ่งอยู่ที่ 1.72 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.17 ดอลลาร์/หุ้น โดยมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายในการยุติคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการบำนาญ และการชำระหนี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนม.ค.โดย Conference Board
อินโฟเควสท์