WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET6ภาวะตลาดหุ้นไทย :  แนวโน้มดัชนีเช้านี้มีลุ้นฟื้นตัวขึ้น จากแรงเก็งกำไรงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน

     นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ จากแรงเก็งกำไรตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา แต่เชื่อว่าในช่วงปลายเดือนนี้จนถึงต้นเดือนหน้า ด้วยประเด็นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอาจจะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนได้ เพราะกำไรในไตรมาส 4/59 ของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมอาจจะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้อาจเกิดแรงขายออกมาได้

     นอกจากนี้ มองว่าเงินบาทยังมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงตามเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่จะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากทางยุโรปมีเรื่องของการเลือกตั้งอยู่หลายประเทศ อย่างเนเธอร์แลนด์ จะเลือกตั้งในวันที่ 15 มี.ค.นี้ ซึ่งก็มีประเด็นที่มีกลุ่มการเมืองพวกหนึ่งที่ต้องการจะออกจากสหภาพยุโรป (EU) ด้วยเหมือนกัน และจะมีการประชุมธนาคารกลางของหลายประเทศ ซึ่งมองว่าต่อไปประเทศต่าง ๆ อาจจะใช้นโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น จากก่อนหน้าที่ใช้นโยบายผ่อนคลาย

      ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งแคบทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้กรอบการแกว่ง 1,578-1,592 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,090.29 จุด เพิ่มขึ้น 37.87 จุด (+0.19%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,674.22 จุด เพิ่มขึ้น 10.67 จุด (+0.19%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,293.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด (+0.02%)

    - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 40.38 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 5.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 46.81 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 13.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 2.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 2.44 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 1.70 จุด

     - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ก.พ.60)  1,582.52 จุด ลดลง 6.61 จุด (-0.42%)

     - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 532.60 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ก.พ.60

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ก.พ.60) ปิดที่ 52.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 84 เซนต์ หรือ 1.6%

    - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ก.พ.60) ที่ 5.53 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.05 กลับมาอ่อนค่าหลังดอลล์แข็งจากวิตกการเมืองฝรั่งเศส

     - "กกพ." ชะลอออกใบอนุญาตฯ โครงการวินด์ฟาร์ม 11 ราย จำนวน 700 เมกะวัตต์ รอความชัดเจนจาก ส.ป.ก.ที่ขอเวลาสรุป 1 สัปดาห์ ขณะที่แม้แต่ 4 รายที่ COD แล้ว 354 เมกะวัตต์ก็ยังต้องลุ้นรับหากที่สุดต้องยกเลิกหมดจะก่อให้เกิดความเสียหาย 8-9 หมื่นล้านบาท ขณะที่โรงไฟฟ้า ราชบุรีฯรอคำความชัดเจนตรวจสัญญาเช่าที่ดินทำโรงไฟฟ้าพลังลมจากส.ป.ก. ยันหากได้รับหนังสือยกเลิกจะดำเนินการฟ้องเพื่อความยุติธรรม

    - ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล เปิดเผยว่า มีความมั่นใจในเศรษฐกิจไทยถึง 200% จากหลายปัจจัย อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศหลักอย่างญี่ปุ่น จีน ขณะที่ประเทศไทยเองรัฐบาลก็มีนโยบายลงทุนและมีแนวดำเนินการตามแนวทางประชารัฐ ทำให้ภาคธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติมั่นใจที่จะลงทุนมากขึ้น

                - ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยหลังจากเปิดให้บริการพร้อมเพย์เพื่อโอนเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีธุรกรรมโอนเงินของประชาชนยังน้อย เฉลี่ยวันละ 1.5 หมื่นรายการ/วัน ถือเป็นปริมาณการโอนที่น้อยมาก ถ้าเทียบกับความสามารถของระบบที่จะรองรับการโอนได้อีกมาก โดยช่วงแรกๆ มีผู้เข้าไปทดลองใช้กันมากพอสมควร

                - ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2560 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2559-ม.ค. 2560 รวม 4 เดือน มีการเบิกจ่ายรวม 1.105 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.46% ของงบประมาณรวม สูงกว่าเป้าหมาย 3.69% แยกเป็นการเบิกจ่ายงบประจำ 9.95 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 2.18 ล้านล้านบาท หรือ 45.56% สูงกว่าเป้าหมาย 6.03% เป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุนไม่รวมงบกลางรวม 1.10 แสนล้านบาท หรือ 23.88% ของงบลงทุนรวม 4.64 แสนล้านบาท แม้จะยังต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เป็นอัตราสูงสุดในรอบหมายปี รวมทั้งมีการก่อหนี้ผูกพันไปแล้ว 2.57 แสนล้านบาท หรือ 55.33% ของงบลงทุนทั้งหมด

                - ครม.ไฟเขียวขยายเวลามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เว้นค่าธรรมเนียม VISA สำหรับ 21 ประเทศ ต่ออีก 6 เดือน หลังพบดำเนินมาตรการรอบแรกผลตอบรับดี สร้างรายได้ 6.44 พันล้านบาท

                - ครม.หนุนแผนตั้งนิคมฯ อุตสาหกรรมการบิน ดันไทยเป็นฮับการบินและศูนย์ซ่อมบำรุงในภูมิภาคอาเซียน ภายในระยะ 15 ปี หวังผลสร้างเศรษฐกิจเพิ่มอีกกว่าหมื่นล้านบาท จ้างงานอีกกว่า 7,500 ตำแหน่ง

*หุ้นเด่นวันนี้

                - THANI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.20 บาท ภาวะอุตสาหกรรมสดใส ยอดขายรถบรรทุกมีความต้องการหนาแน่น บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากปัจจุบัน 15-18% เป็น 20-24% โดยการปล่อยสินเชื่อเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงตามการปรับเพิ่มอันดับเครดิตและการ Reprice หุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงในอดีต โดยยังคงคาดกำไรสุทธิปี 2560 +6% Y-Y แต่อาจมี upside หากตั้งสำรองฯน้อยกว่าคาดและต้นทุนทางการเงินต่ำกว่าคาด และคาดจ่ายปันผล 0.22 บาท/หุ้น (yield 4.2%)

                - TASCO (เออีซี) "ซื้อ"เป้า Consensus 27.50 บาท  ปี 60 คาดกำไรโต 17.4%YoY จากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ (อินโดฯจีน) ที่คาดฟื้นตัวแข็งแกร่งรวมถึงมาร์จิ้นคาดปรับตัวดีขึ้นหลังราคายางมะตอยเดือน ม.ค. 60 ปรับตัวขึ้น 30%MoM ขณะที่ต้นทุนน้ำมันดิบทรงตัวในกรอบ 55 เหรียญฯ/บาร์เรล  และมี Upside 10.9%

                - QH (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 3.10 บาท ตั้งเป้ายอดขายปี 60 เพิ่มขึ้น 20% หรือที่ 18,000 ล้านบาท ผ่านแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบเป็นหลักทั้งหมด 10 โครงการ พร้อมพัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ภายใต้แบรนด์ Q District ที่คาดจะได้ประโยชน์จาก Economy-of-Scale พร้อมปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 59 ลง 2% เป็น 3,208 ล้านบาท (+3%YoY) จากแนวโน้มผลประกอบการ 4Q59 ที่คาดต่ำกว่าประมาณการเดิม เมื่อพิจารณาจาก Backlog รอโอนที่ต่ำ รวมถึงโครงการแนวราบเปิดโอนใหม่ที่น้อยใน 4Q59 ทั้งนี้คาดผลประกอบการปี 60 จะเติบโตได้ราว 5%YoY โดยคาดจะมาจากการขายโอนโครงการแนวราบเป็นหลัก และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 6%

                - MAJOR (ยูโอบี เคย์เฮียน) ปี 60 วางแผนขยายโรงภาพยนตร์อีก 70-80 โรง จากปัจจุบันที่ 700 โรง โดยคาดผลประกอบการปีนี้ฟื้นตัวชัดจากการบริโภค หน้าภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง และผลดีจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ลดลงเช้านี้ ส่วนตลาดหุ้นโตเกียวบวกตามนิวยอร์ก

                ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ส่วนตลาดหุ้นโตเกียวปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,951.16 จุด เพิ่มขึ้น 40.38 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,148.09 จุด ลดลง 5.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,284.76 จุด ลดลง 46.81 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,540.77 จุด ลดลง 13.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,072.58 จุด ลดลง 2.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,069.20 จุด ลดลง 2.44 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,687.14 จุด ลดลง 1.70 จุด

                ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงกดดันหลังจากที่สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 อยู่ที่ 2.99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนม.ค. ซึ่งถือเป็นระดับเฝ้าระวัง

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงซื้อหุ้นเหมืองหนุนฟุตซี่ปิดบวก 14.07 จุด

            ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ก.พ.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่รายใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นทั้งกระดาน อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกในกรอบจำกัด เนื่องจากมีแรงเทขายจากหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นบีพีที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังบริษัทเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์

                ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 14.07 จุด หรือ 0.20% ปิดที่ 7,186.22 จุด

                หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงกันถ้วนหน้า โดยหุ้นบีพี (บริติช ปิโตรเลียม) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 4.1% หลังบริษัทเผยรายงานผลประกอบการว่า บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 540 ล้านดอลลาร์ โดยกำไรที่ต่ำกว่าคาดมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลง ขณะที่บริษัทได้ทำการปรับลดต้นทุน และขายสินทรัพย์ รวมทั้งชะลอแผนการลงทุน

                ขณะที่หุ้นรอยัล ดัชท์ เชลล์ คู่แข่งของบีพี ร่วงลง 1.4%

                อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นริโอ ตินโต พุ่งขึ้น 1.5% หลังธนาคารเจพี มอร์แกน ปรับเพิ่มแนวโน้มราคาแร่เหล็ก

                หุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นเกลนคอร์ พุ่ง 2.3% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับขึ้น 0.2%

                หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเทสโก เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นดับเบิลยูเอ็ม มอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ต พุ่ง 1.8% และหุ้นเจ เซนส์บิวรี พุ่งขึ้น 2.4%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับยูโรอ่อนหนุนหุ้นส่งออก

            ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.พ.) หลังจากสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทส่งออกยุโรป อย่างไรก็ตาม ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลงของเยอรมนี และผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทบีพี และบริษัทพลังงานรายอื่นๆ ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในระหว่างวัน

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 362.74 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,754.47 จุด ลดลง 23.61 จุด หรือ -0.49% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,549.44 จุด เพิ่มขึ้น 39.60 จุด หรือ +0.34% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,186.22 จุด เพิ่มขึ้น 14.07 จุด หรือ +0.20%

                ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่า การอ่อนค่าของเงินยูโรจะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทส่งออกยุโรป โดยยูโรอ่อนค่าลงหลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่า ECB พร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ถ้าหากแนวโน้มเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงซบเซา

                อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในระหว่างวันนั้น ได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) ซึ่งระบุว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีได้ปรับตัวลง 3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่ผลผลิตในภาคการผลิตได้ร่วงลงอย่างหนัก

                หุ้นบีพีร่วงลง 4.1% หลังจาก บีพี  ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของสหราชอาณาจักร รายงานว่าบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 400 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2559 จากระดับ 196 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 540 ล้านดอลลาร์

                ทั้งนี้ กำไรที่ต่ำกว่าคาดดังกล่าวมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลง ขณะที่บริษัททำการปรับลดต้นทุน และขายสินทรัพย์ รวมทั้งชะลอแผนการลงทุน

                หุ้นสแตทออยล์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสัญชาตินอร์เวย์ ดิ่งลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 2.79 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2559

                นักลงทุนจับตาสถานการณ์ด้านการเมืองในฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด หลังจากนางมารีน เลอ เปน ซึ่งเป็นผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส กำลังมีคะแนนนำในการสำรวจก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 7 พ.ค. โดยนางเลอ เปน เป็นผู้สมัครฝ่ายขวาจัด และมีจุดยืนในการนำฝรั่งเศสแยกตัวจากสหภาพยุโรป

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 37.87 จุด รับผลประกอบการ,ตัวเลขดุลการค้าสหรัฐ

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.พ.) โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) และตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงมากกว่าการคาดการณ์  ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น  อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วย

       ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,090.29 จุด เพิ่มขึ้น 37.87 จุด หรือ +0.19% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,674.22 จุด เพิ่มขึ้น 10.67 จุด หรือ +0.19% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,293.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด หรือ +0.02%

     ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดย GM บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรและรายได้พุ่งขึ้นเกินคาดในไตรมาส 4 ขณะที่ยอดขายรถยนต์ทะยานขึ้นในสหรัฐ และจีน

    ทั้งนี้ GM เปิดเผยว่า มีกำไร 1.28 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับ 1.17 ดอลลาร์/หุ้นที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ GM ยังเปิดเผยว่ามีรายได้รวม 4.391 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับ 4.153 หมื่นล้านดอลลาร์ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

      ในช่วงแรกนั้น หุ้น GM ดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ก่อนที่จะปิดตลาดปรับตัวลง 4.70% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่านโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้าที่ส่งข้ามชายแดนของสหรัฐนั้น อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ GM ในวันข้างหน้า

      หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี NASDAQ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหุ้นแอปเปิล อิงค์ และหุ้นอินเตอร์เนชันแนล บิสิเนส แมชีนส์ (IBM) ต่างก็ปรับตัวขึ้นกว่า 0.4%

      นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าลดลง 3.2% ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 4.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะมีตัวเลขขาดดุลการค้าลดลงสู่ระดับ 4.50 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.

       รายงานของกระทรวงยังระบุด้วยว่า สหรัฐส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 2.7% สู่ระดับ 1.907 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015 ขณะที่นำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.350 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2015

     อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงกว่า 1.5% ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเชฟรอนปรับตัวลง 1.4% หุ้นนิวฟิลด์ เอ็กซ์พลอเรชัน ร่วงลง 4.2% และหุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ ดิ่งลง 3.9%

       หุ้นไมเคิล คอร์ ผู้ผลิตกระเป๋าชื่อดังของสหรัฐ ดิ่งลง 10.80% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในช่วงเทศกาลวันหยุดที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากนายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย และเป็นกรรมการเฟดที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในปีนี้ กล่าวว่า เฟดควรพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนหน้า หากว่าการจ้างงานและค่าจ้างแรงงานยังคงมีการขยายตัวต่อไป โดยเฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งต่อไปในวันที่ 14-15 มี.ค.

      นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนธ.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนม.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!