- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 30 January 2017 14:44
- Hits: 2931
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ วอลุ่มบาง หลังหลายตลาดหุ้นเอเชียหยุดตรุษจีน,จับตาประชุม BOJ-FED สัปดาห์นี้
นายอภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ โดยมูลค่าการซื้อขายน่าจะยังเบาบางอยู่ เนื่องจากวันนี้หลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังคงปิดทำการ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ดีคาดว่าน่าจะยังมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในตลาด อิงตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา
ขณะที่ตลาดยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 30-31 ม.ค.นี้ และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.นี้ด้วย
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,586-1,589 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,600 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (27 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,093.78 จุด ลดลง 7.13 จุด (-0.04%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,660.78 จุด เพิ่มขึ้น 5.60 จุด (+0.10%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,294.69 จุด ลดลง 1.99 จุด (-0.09%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 96.12 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 17.22 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ,ฮ่องกง,ไต้หวัน ,เกาหลีใต้ ,สิงคโปร์ และมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (27 ม.ค.60) 1,590.80 จุด ลดลง 0.20 จุด (-0.01%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,139.69 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (27 ม.ค.60) ปิดที่ 53.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 61 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (27 ม.ค.60) ที่ 6.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.24/26 แข็งค่าจากสัปดาห์ก่อน แนวโน้มแกว่งแคบในกรอบ 35.22-35.30
- แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศ ไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.เตรียมเสนอโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองส่วนต่อขยาย 2 เส้นทาง มูลค่ารวม 2.66 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อนส่วนต่อขยายช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช และช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 20 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 1.90 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ระยะทาง 10 กิโลเมตร วงเงิน 7,596 ล้านบาท ให้คณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาเห็นชอบภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า และคาดว่าจะเปิดประมูลได้ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
- นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันนี้คลังจะปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2560 ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% เป็นระดับประมาณ 4% ซึ่งทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รวบรวมปัจจัยบวกและลบที่ยังไม่ได้นำมาประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจไทยก่อนหน้านี้ ว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มเท่าไหร่
- ก.ล.ต.กดดันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกเครื่องกฎเกณฑ์พิจารณารับหุ้นใหม่ ป้องกันบริษัทเน่าเข้าจดทะเบียน สร้างความเสียหายนักลงทุน พร้อมแก้เงื่อนไขหุ้นในข่ายอาจถูกเพิกถอน เร่งขั้นตอนตะเพิดพ้นตลาดหุ้น
- ที่ประชุมคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล วันที่ 30 ม.ค.นี้ จะพิจารณาตัดโควตาบุคคลที่นำสลากฯไปขายรวมชุด จนทำให้ราคาสูงเกิน 80 บาท ซึ่งเบื้องต้นมีหลัก 100 ราย ทั้งในโควตาของบุคคลธรรมดา และโควตาองค์กรการกุศล พร้อมกันนี้จะเข้มงวดในการตรวจสอบการขายรวมชุด ทั้งลงโทษขั้นเด็ดขาดในการตัดโควตาตลอดชีวิต และขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) ไว้ ไม่ให้เป็นคนขายสลากฯอีก จากนั้นจะนำโควตาที่ยึดคืนมาออกขายให้แก่บุคคลทั่วไปผ่านระบบการสั่งซื้อสั่งจองทางตู้เอทีเอ็ม ที่ปัจจุบันนี้มียอดโควตาเพิ่มให้จากเดิม 60,000 คู่ เป็น 90,000 คู่แล้ว เพื่อทำให้ระบบเข้าสู่สมดุล
*หุ้นเด่นวันนี้
- WORK (ไอร่า) เป้า 52.50 บาท คาดในปี 60 ผลการดำเนินงานของ WORK มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น คาดกำไรสุทธิ 417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% และคาดกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในระดับไม่ต่ำกว่า 45% ต่อปี ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากความสามารถในการเพิ่มเรตติ้งของช่องอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดรายได้จากการขายโฆษณาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
- KKP (แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) "ซื้อ"เป้า 65 บาท มีโอกาสจ่ายเงินปันผลมากกว่าคาด นอกจากนี้ คุณภาพสินเชื่อดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Credit cost ปี 60 น่าจะลดลง พร้อมตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโต +5%YoY ด้วยแรงหนุนของสินเชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยคาดกำไรปี 60 อาจมี Upside เพราะรายได้ IB และกำไรจากเงินลงทุน
- STA, TRUBB (แอพเพิล เวลธ์) ระยะสั้นแนะ"เก็งกำไร" ได้รับผลบวกจากราคายางพารา Tocom เช้านี้ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น +5.7%
- UKEM (เคจีไอฯ) Valuation ไม่แพงด้วย Trailing PE 15 เท่า, ราคาเคมีภัณฑ์ปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบ YoY ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ เป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุนในหุ้น (UKEM นำเข้าและจำหน่าย เคมีภัณฑ์ประเภทสารละลาย หรือ Solvent) พร้อมประเมินแนวรับ 2.04 บาท แนวต้าน 2.18 บาท หากผ่านแนวต้านดังกล่าวได้มีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 2.5 บาท (Stop loss 1.97 บาท)
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดทำการวันนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงจากแรงขายทำกำไร
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงเกือบ 100 จุด จากแรงเทขายทำกำไรภายหลังจากนิกเกอิทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วง 3 วันทำการก่อนหน้านี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,371.28 จุด ลดลง 96.12 จุด ส่วนตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 23.00 จุด หลังหุ้นเทสโก้พุ่งแรงรับข่าวซื้อกิจการ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ม.ค.) หลังหุ้นเทสโก้ทะยานขึ้นกว่า 9% รับข่าวบริษัทตกลงซื้อกลุ่มบริษัทค้าส่งอาหารอย่าง บุคเกอร์ กรุ๊ป ในวงเงิน 3.7 พันล้านปอนด์ เพื่อรุกธุรกิจจัดส่งอาหาร
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 23.00 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 7,184.49 จุด ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีลดลง 0.2%
หุ้นเทสโก้ และบุคเกอร์ต่างทะยานขึ้นในวันศุกร์ หลังจากที่มีรายงานว่า บริษัทเทสโก้ ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ประกาศทุ่มเงิน 3.7 พันล้านปอนด์ (4.64 พันล้านดอลลาร์) เพื่อซื้อกิจการของบริษัทบุคเกอร์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งอาหารรายใหญ่
การซื้อกิจการบุคเกอร์จะทำให้เทสโก้สามารถรุกธุรกิจจัดส่งอาหารเข้าไปยังร้านอาหารและร้านกาแฟในอังกฤษ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าตลาดของผู้บริโภคที่ซื้ออาหารมารับประทานที่บ้าน โดยที่ผ่านมา บุคเกอร์ได้จัดส่งอาหารให้แก่ร้านค้าต่างๆจำนวน 450,000 แห่ง ซึ่งรวมถึงเครือข่ายบริษัทต่างๆ ได้แก่ วากามามาส และคาร์ลุคซิโอ
ทั้งนี้ ราคาหุ้นเทสโก้พุ่งขึ้น 9.60% ขณะที่หุ้นบุคเกอร์ทะยานขึ้น 16.7%
อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นเทสโก้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ภาวะการซื้อขายโดยรวมเป็นไปในทิศทางบวกไม่มากนัก โดยหุ้นบีทีทรงตัว หลังจากบริษัทสื่อสารรายใหญ่รายงานผลกำไรไตรมาสสามร่วงลงอย่างหนักถึง 37% ซึ่งการเปิดเผยผลประกอบการมีขึ้นหลังจากที่เพิ่งมีข่าวว่า บีที อิตาเลียได้ทำการตกแต่งตัวเลขบัญชี โดยได้แจ้งกำไรเกินจริงเป็นเวลาหลายปี
ขณะที่เงินปอนด์ซึ่งอ่อนค่าลง 0.4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แตะ 1.2541 ดอลลาร์ และร่วงลง 0.6% เทียบยูโร สู่ระดับ 1.1729 ยูโร ช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายได้ส่วนหนึ่ง หลังจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ก่อนหน้านี้ได้ฉุดให้ดัชนีฟุตซี่ร่วงลงในรอบสัปดาห์
ในส่วนของหุ้นตัวอื่นๆนั้น หุ้นเซเว่น เทรนต์ บวก 2.49% สเมอร์ทิฟ คัปปา กรุ๊ป บวก 2.38% แอดไมรัล กรุ๊ป บวก 2.04% และดีซีซี บวก 1.64%
หุ้นลบนำโดย อันโตฟากัสตา ร่วงลง 4.08% อีซี่เจ็ต ร่วง 3.37% เพียร์สัน ลดลง 2.41% เบอร์เบอร์รี กรุ๊ป ลดลง 1.02% และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ลบ 0.91%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างรอดูการเจรจาการค้าในระหว่างการพบปะกันของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งเมย์ถือเป็นผู้นำจากต่างประเทศคนแรกที่ได้เดินทางเยือนสหรัฐและเข้าพบทรัมป์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยนอกจากประเด็นการค้าแล้ว คาดว่าผู้นำทั้ง 2 ประเทศจะหารือกันถึงเรื่องความมั่นคงและความร่วมมือด้านข่าวกรอง ตลอดจนอนาคตขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ด้วยเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หลังหุ้นแบงก์อ่อนแรง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดแดนลบเมื่อคืนนี้ (27 ม.ค.) จากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังยูบีเอส กรุ๊ป ของสวิตเซอร์แลนด์ รายงานผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.12 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 366.38 จุด หลังจากปิดที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 13 เดือนเมื่อวันก่อน ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 1.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 27.26 จุด หรือ 0.56% ปิดที่ 4,839.98 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันลดลง 34.36 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 11,814.27 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นอังกฤษเพิ่มขึ้น 23.00 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 7,184.49 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นคึกคักในช่วงสามวันที่ผ่านมา จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกอบกับนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นทะลุแนวต้านที่ระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยหุ้นยุโรปได้อานิสงส์จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวและพุ่งขึ้นถึง 1.3% ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หุ้นยุโรปกลับมาปรับตัวลงในวันศุกร์ หลังจากที่หุ้นแบงก์อ่อนแรง นำโดยหุ้นยูบีเอส ที่ร่วงลง 4.5%
โดยธนาคารสัญชาติสวิสเปิดเผยว่า กำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ลดลง 5% ในไตรมาสสี่ เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องสามไตรมาส แม้ผลกำไรสุทธิที่ลดลงแตะ 738 ล้านฟรังก์สวิส จะออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ก็ตาม
สำหรับหุ้นแบงก์อื่นๆนั้น ยูนิเครดิต ของอิตาลี ลดลง 5.2% และคอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนี ลบ 0.9%
ด้านหุ้นเทสโก้พุ่งขึ้น 9.60% ขณะที่หุ้นบุคเกอร์ทะยานขึ้น 16.7% หลังเทสโก้ ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ประกาศทุ่มเงิน 3.7 พันล้านปอนด์ (4.64 พันล้านดอลลาร์) เพื่อซื้อกิจการของบริษัทบุคเกอร์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งอาหารรายใหญ่ นอกจากนี้ เทสโก้ยังเผยว่าบริษัทเตรียมที่จะเริ่มจ่ายเงินปันผลในปีงบการเงิน 2561
การซื้อกิจการบุคเกอร์จะทำให้เทสโก้สามารถรุกธุรกิจจัดส่งอาหารเข้าไปยังร้านอาหารและร้านกาแฟในอังกฤษ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าตลาดของผู้บริโภคที่ซื้ออาหารมารับประทานที่บ้าน โดยที่ผ่านมา บุคเกอร์ได้จัดส่งอาหารให้แก่ร้านค้าต่างๆจำนวน 450,000 แห่ง ซึ่งรวมถึงเครือข่ายบริษัทต่างๆ ได้แก่ วากามามาส และคาร์ลุคซิโอ
ทั้งนี้ การทะยานขึ้นของหุ้นเทสโก้เป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนีหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นปิดแดนบวก สวนทางตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างรอดูการเจรจาการค้าในระหว่างการพบปะกันของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งเมย์ถือเป็นผู้นำจากต่างประเทศคนแรกที่ได้เดินทางเยือนสหรัฐและเข้าพบทรัมป์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยนอกจากประเด็นการค้าแล้ว คาดว่าผู้นำทั้ง 2 ประเทศจะหารือกันถึงเรื่องความมั่นคงและความร่วมมือด้านข่าวกรอง ตลอดจนอนาคตขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ด้วยเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 7.13 จุด หลัง GDP สหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาด
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (27 ม.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากมีรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559 ของสหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและรอดูการพบปะกันของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่ทำเนียบขาว
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,093.78 จุด ลดลง 7.13 จุด หรือ -0.04% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,660.78 จุด เพิ่มขึ้น 5.60 จุด หรือ +0.10% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,294.69 จุด ลดลง 1.99 จุด หรือ -0.09%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการเบื้องต้นของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 อยู่ที่ระดับ 1.9% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.2% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2016 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2011 และลดลงจากระดับ 2.6% ในปี 2015
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ร่วงลง 0.4% ในเดือนธ.ค. โดยได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ดิ่งลงสำหรับเครื่องบิน
หุ้นสตาร์บัคร่วงลง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 2.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำเกินคาดเช่นกัน
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 1.1% แม้ว่าบริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 22% ในไตรมาส 4 แตะที่ระดับ 2.61 หมื่นล้านดอลลาร์ และรายได้สุทธิ 5.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8%
หุ้นอเมริกัน แอร์ ไลน์ ร่วงลง 5.3% ขณะที่หุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ร่วงลง 5.2% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์
ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขรายได้รายไตรมาส ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 2.607 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 83 เซนต์ ซึ่งเหนือกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2.53 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 79 เซนต์
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและรอดูการเจรจาการค้าในระหว่างการพบปะกันของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งนางเทเรซา เมย์ ถือเป็นผู้นำจากต่างประเทศคนแรกที่ได้เดินทางเยือนสหรัฐและเข้าพบทรัมป์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ทั้งนี้ คาดว่านอกจากประเด็นการค้าแล้ว ผู้นำทั้ง 2 ประเทศจะหารือกันถึงเรื่องความมั่นคงและความร่วมมือด้านข่าวกรอง ตลอดจนอนาคตขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ด้วยเช่นกัน
นักลงทุนจับตาการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในสัปดาห์นี้ และรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊ก และแอปเปิล อิงค์ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้เช่นกัน
อินโฟเควสท์