- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 27 January 2017 15:55
- Hits: 2105
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้เป็นบวกแต่อาจย่อระหว่างเทรด-วอลุ่มชะลอ หลายตลาดเอเชียหยุดตรุษจีน
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ภาพตลาดหุ้นไทยยังเป็นบวก แต่อาจจะยังแกว่งตัวในกรอบและย่อตัวลงระหว่างทาง หลังจากดีดตัวขึ้นมามากก่อนหน้านี้จากแรงซื้อที่เข้ามาในหุ้นบิ๊กแคปเป็นรายตัวเท่านั้น ประกอบกับ ดัชนีมีแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 1,600 จุดที่ยังผ่านไปไม่ได้ ขณะที่ตามสถิติที่ผ่านมาพบว่ามูลค่าการซื้อขายน่าจะชะลอตัวลง หลังจากพุ่งขึ้นไประดับ 6-7 หมื่นล้านบาท/วัน
อีกทั้ง วันนี้หลายตลาดหุ้นเอเชียปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีนด้วย ก็อาจจะกดดันให้ดัชนีพักความร้อนแรงลงบ้าง แต่คงจะไม่มากนักเพราะภาพรวมผลประกอบการของ บจ.ยังดีอยู่
นอกจากนี้ ยังคาดว่านักลงทุนบางส่วนอาจจะชะลอการลงทุน เพื่อรอดูปัจจัยที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยในปัจจัยในต่างประเทศยังต้องติดตามการประชุมของ BOJ และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ของเฟด ส่วนภายในประเทศ ยังต้องติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบจ. และตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนของธปท. รวมถึงยังต้องติดตามเม็ดเงินไหลเข้า (Fund Flow) ที่ยังมีทิศทางไม่นิ่งแม้เมื่อวานจะกลับมาซื้อสุทธิค่อนข้างมาก แต่ก่อนหน้านั้นก็ขายสุทธิออกมาบางส่วนด้วยเช่นกัน
พร้อมมองแนวรับบริเวณ 1,583 และ 1,576 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,600 และ 1,604 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,100.91 จุด เพิ่มขึ้น 32.40 จุด (+0.16%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,655.18 จุด ลดลง 1.16 จุด (-0.02%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,296.68 จุด ลดลง 1.69 จุด (-0.07%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 51.12 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 35.02 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.77 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.42 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.58 จุด
ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน,จีน และเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ม.ค.60) 1,591.00 จุด เพิ่มขึ้น 6.71 จุด (+0.42%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,069.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ม.ค.60) ปิดที่ 53.78 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ม.ค.60) ที่ 6.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.30/34 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบหลังไร้ปัจจัยสำคัญ มองกรอบวันนี้ 35.25-35.40
- คลังขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบิน 4 บาทต่อลิตรจากเดิม 20 สตางค์ต่อลิตร และเก็บภาษีน้ำมันหล่อลื่น ลิตรละ 5 บาทจากเดิมไม่เก็บ ชี้สร้างความเป็นธรรม-ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีผล 25 ม.ค. คาดรายได้รัฐเพิ่ม 8 พันล้านบาท ด้านปตท.รับต้นทุนน้ำมันหล่อลื่นขยับ 5.50 บาทต่อลิตร เตรียมหารือสรรพสามิต ก่อนตัดสินใจขึ้นราคาหรือไม่
- สคร.จ้างศึกษาปลดล็อกกฎหมายพีพีพี หวังดึงต่างชาติร่วมทุนเมกะโปรเจค หลังไม่มีนักลงทุน ต่างชาติยื่นประมูลรถไฟฟ้าเหลือง-ชมพู ด้านคมนาคมเคาะ 6 เมกะโปรเจค มูลค่า 6.7 แสนล้านบาท เข้าพีพีพีฟาสต์แทรคปีนี้ ด้าน"อภิศักดิ์"ระบุ รัฐพร้อมลงทุน หากไม่มีเอกชนสนใจ
- รมว.คลัง เผยว่าวันนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบกลางปีงบประมาณ 2560 วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท โดยเป็นการกู้เพิ่ม 1.6 แสนล้านบาท จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้
- ธปท.ระบุว่าปีนี้ยังเป็นปีที่เอกชนน่าจะเร่งลงทุน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเอื้อ ทั้งภาครัฐให้สิทธิพิเศษทางภาษีและต้นทุนการเงินของภาคเอกชนยังไม่สูงมาก ขณะที่ต้นทุนการเงินหรือดอกเบี้ยในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐทำให้แนวโน้มต้นทุนทางการเงินจะเริ่มปรับสูงขึ้นในอนาคต ปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ภาคเอกชนควรพิจารณาขยายการลงทุนอย่างจริงจัง
- ธปท.มองเศรษฐกิจปี 60 ยังฟื้นตัวท่ามกลางความผันผวนที่พุ่งสูงมหาอำนาจสหรัฐฯ-ยุโรป-จีนกระหน่ำปัจจัยเสี่ยงซ้ำเศรษฐกิจไทย ชี้คอร์รัปชันทำเอกชนไม่เชื่อมั่นลงทุน แนะปรับโครงสร้างระยะสั้น-ยาว "ส่งออก ลงทุน หนี้ครัวเรือน" ระบุยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย แม้ดอกเบี้ยโลกเป็นขาขึ้น พร้อมดูแลค่าเงินบาทดอกเบี้ยเอื้อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
- KSL (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท หลังมองภาพรวมทุกธุรกิจสดใส จากราคาน้ำตาลที่อยู่แนวโน้มขาขึ้นไปจนถึงปี 60/61 ,การ Turn Around ครั้งแรกของธุรกิจน้ำตาลในต่างประเทศ , การเติบโตของธุรกิจเอทานอลจากราคาขายที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน จากทิศทางราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว , ปริมาณขายไฟในธุรกิจโรงไฟฟ้าขยายตัว และโอกาสรับรู้รายการพิเศษอีกกว่า 200 ล้านบาท ประกอบกับมีความต้องการในเอเชียมีแนวโน้มขาดดุล และไทยได้เปรียบจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ พร้อมคาดกำไรปกติปี 59/60 จะเติบโตกว่า 40% YoY ราคาปัจจุบันคิดเป็น P/E ที่เพียง 19 เท่า เมื่อเทียบกับ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีที่ 23 เท่า และ P/E เฉลี่ยย้อนหลังช่วงปี 51-54 ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำตาลโลกขาดดุลที่ 28 เท่า
- PSH (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 30 บาท ซึ่งปรับขึ้นจากเดิมที่ 27 บาท เนื่องจากปรับคาดการณ์กำไรปี 60 เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยเป็น 6,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% YoY หลังหลายโครงการในปี 59 มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำ และมีการเร่งเคลียร์สต็อกเดิม ขณะที่โครงการแนวราบที่เปิดตัวใหม่ในปี 60 เริ่มมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและดีกว่าที่เคยคาดไว้เดิม
พร้อมทั้งปรับ PER ขึ้นเป็น 10 เท่า จากเดิม 9 เท่า โดยให้พรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้น และแผนธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะประกาศในเดือน ก.พ.60 ทั้งนี้ PSH ยังจัดเป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลงวด 2H59 อีกราว 0.80 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉพาะงวดนี้ที่ 3.4% และคาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 60 ที่ 6.7%
- PTTEP (แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) แนะ"ซื้อเก็งกำไร" จากเดิม"ถือลงทุน" และเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 106 บาท จาก 96 บาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาขายก๊าซและผลประกอบการอ่อนแอที่เป็นระดับต่ำสุดน่าจะผ่านพ้นไปแล้วใน 4Q59 , ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับขึ้นใน 4Q59 จะส่งผลบวกเต็มที่ต่อราคาขายก๊าซและผลกำไรใน 2H60 ขณะที่ระยะยาว ยังคงคาดหวังผลสำเร็จใน 2 ประเด็นคือ การเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่คาดจะได้ข้อสรุปภายในปี 60 และการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในปีนี้ โดย PTTEP มีโอกาสสูงที่จะชนะประมูล (รวมถึงการต่ออายุสัมปทานบงกช) ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัท เพราะทำให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก รับดาวโจนส์พุ่งเหนือ 20,000 จุดเป็นวันที่สอง
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติพุ่งขึ้นเหนือระดับ 20,000 จุดติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ หลังจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทคอมแคสต์ และดาว เคมิคอล
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,695.64 จุด เพิ่มขึ้น 3.42 จุด, +0.20% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,064.55 จุด เพิ่มขึ้น 12.77 จุด, +0.42% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,453.51 จุด เพิ่มขึ้น 51.12 จุด, +0.26% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,339.15 จุด ลดลง 35.02 จุด, -0.15%
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียเป็นไปอย่างซบเซาในช่วงเช้านี้ เนื่องจากตลาดหลายแห่งปิดทำการในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 2.94 จุด หลังหุ้นยูนิลีเวอร์ดิ่ง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (26 ม.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่เปิดเผยผลประกอบการที่สวนทางกัน ขณะที่ตลาดหุ้นได้ปัจจัยหนุนบางส่วนจากการที่รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ที่ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 2.94 จุด หรือ -0.04% ปิดที่ 7,161.49 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้มีความผันผวน โดยในระหว่างวัน ดัชนี FTSE 100 ดีดตัวสูงสุด 0.3% ในช่วงที่เงินปอนด์เริ่มอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีการขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
แรงกดดันที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงยังมาจากการที่รัฐบาลอังกฤษได้ยื่นร่างกฎหมายแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อวานนี้ โดยค่าเงินปอนด์ดิ่ง 0.5% หลุดระดับ 1.2600 ดอลลาร์ และร่วงลง 0.52% สู่ระดับ 1.2564 ดอลลาร์ ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ยื่นร่างกฎหมาย Brexit เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันนี้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้มีการประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป
ถึงแม้การอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ได้ช่วยกระตุ้นผลกำไรของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนอ่อนแรงลงในช่วงท้ายก่อนปิดในแดนลบเมื่อวานนี้ เนื่องจากมีหุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่บางแห่งรายงานผลประกอบการที่ไม่สู้ดี
หุ้นยูนิลีเวอร์ ผู้ผลิตสินค้าบริโภครายใหญ่ ร่วงลง 4.7% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภายหลังจากกำไรก่อนหักภาษีของบริษัทปรับตัวขึ้นเพียง 4.2% ในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่งขึ้น 2.4% หลังธนาคารเปิดเผยว่าได้เตรียมเงินมูลค่า 3.8 พันล้านปอนด์ เพื่อจ่ายค่าปรับในคดีความที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ในสหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: แรงซื้อหุ้นแบงก์ หุ้นตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐ ทุ่มเงินซื้อกิจการบริษัท Actelion ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสวิตเซอร์แลนด์
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.3% ปิดที่ 367.50 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 13 เดือน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,867.24 จุด ลดลง 10.43 จุด หรือ -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,848.63 จุด เพิ่มขึ้น 42.58 จุด หรือ +0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,161.49 จุด ลดลง 2.94 จุด หรือ -0.04%
หุ้น Actelion ทะยานขึ้นเกือบ 20% หลังจากบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ประกาศทุ่มเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อกิจการของบริษัท Actelion โดยการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีโอกาสรุกเข้าสู่ธุรกิจการรักษาสุขภาพด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรมากขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของทั้ง 2 บริษัทได้ให้การรับรองข้อตกลงซื้อกิจการครั้งนี้แล้ว โดยคาดว่าการทำธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 2 โดยขึ้นอยู่กับการให้การอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมกฎระเบียบ
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากธนาคารยืนยันว่าได้เตรียมเงินมูลค่า 3.8 พันล้านปอนด์ เพื่อจ่ายค่าปรับในคดีความที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หุ้นยูนิลีเวอร์ ร่วงลง 4.7% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภายหลังจากกำไรก่อนหักภาษีของบริษัทปรับตัวขึ้นเพียง 4.2% ในปีที่แล้ว
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 32.40 จุด ขานรับผลประกอบการสดใส
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 ม.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทคอมแคสต์ อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายบ้านใหม่ที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,100.91 จุด เพิ่มขึ้น 32.40 จุด หรือ +0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,655.18 จุด ลดลง 1.16 จุด หรือ -0.02% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,296.68 จุด ลดลง 1.69 จุด หรือ -0.07%
ดัชนี ดาวโจนส์ปิดเหนือแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 20,000 จุดติดต่อกัน 2 วันทำการเมื่อคืนนี้ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทคอมแคสต์เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 89 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 87 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 2.103 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.067 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งช่วยหนุนหุ้นคอมแคสต์ปิดตลาดทะยานขึ้น 2.8%
หุ้นอีเบย์พุ่งขึ้น 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ที่แข็งแกร่งในช่วงเทศกาลวันหยุด
ขณะที่หุ้นดิอาจิโอ ผู้ผลิตวิสกี้ "Johnnie Walker" และวอดก้า "Smirnoff" ปิดพุ่งขึ้น 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรช่วงครึ่งปีแรกพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.9 พันล้านดอลลาร์
หุ้นดาว เคมิคอล พุ่งขึ้น 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
ส่วนหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปิดขยับลง หลังจากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ประกาศทุ่มเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อกิจการของบริษัท Actelion ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้น Actelion พุ่งขึ้น 20% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นซูริค
หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ปิดขยับลง 0.9% หลังจากแคเทอร์พิลลาร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยรายได้ 9.57 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 9.84 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ที่ระดับ 83 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 66 เซนต์/หุ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวก แต่ภาวะการซื้อขายถูกกดดันในระหว่างวัน จากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 22,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 259,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 247,000 ราย
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 10.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 536,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 588,000 ยูนิต
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ไตรมาส 4/2559 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อินโฟเควสท์