WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET19ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้ม ดัชนีเช้าขยับขึ้นต่อตามหุ้นทั่วโลกตอบรับดาวโจนส์ทะลุ 20,000 จุดเชื่อมั่นทรัมป์

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดขยับขึ้น ตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่สดใสต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ปิดเหนือระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะผลักดันการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การปรับลดภาษี และผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ

       ประกอบกับ เมื่อคืนนี้บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของยุโรปและสหรัฐฯ รายงานกำไรดีกว่าคาด บ้านเรา SCC งบฯออกมาก็ดีกว่าคาด ปลุกแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังไม่แจ้งงบฯ ตามมา ทั้งกลุ่มพลังงาน รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มอื่นๆ นอกจากนั้น วันนี้ยังมีลุ้นว่ากระแสเงินทุนจะพลิกกลับเป็นบวก

     พร้อมให้แนวต้านวันนี้ 1,595-1,600 จุด แนวรับ 1,590 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,068.51 จุด พุ่งขึ้น 155.80 จุด (+0.78%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,656.34 จุด เพิ่มขึ้น 55.38 จุด (+0.99%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,298.37 จุด เพิ่มขึ้น 18.30 จุด (+0.80%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 203.17 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.34 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 124.34 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.92 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.92 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 2.72 จุด

      ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 ม.ค.60) 1,584.29 จุด เพิ่มขึ้น 5.47 จุด (+0.35%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,554.35 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ม.ค.60

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 ม.ค.60) ปิดที่ 52.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.8%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 ม.ค.60) ที่ 6.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.20 หลังดอลลาร์อ่อนต่อเนื่อง มองกรอบ 35.15-35.25

     - ทีมสอบ ป.ป.ช.เตรียมรายงานบอร์ด เบื้องต้นวันนี้ หลังได้ข้อมูลเชิงลึกสินบนโรลส์-รอยซ์ ด้าน"บรรยง"เสนอใช้ม.44 ให้อำนาจ ป.ป.ช.มากขึ้น ขณะองค์กรต่อต้าน คอร์รัปชันทำหนังสือเสนอนายกฯตั้งคนกลางร่วมสอบ

                - มายด์แชร์ คาดอุตสาหกรรมโฆษณาฟื้นตัว ปีนี้โต 12%  "ทีวี-ออนไลน์"ยึดงบโฆษณาสูงสุด "ทีวีดิจิทัล"ผู้ชมขยายตัว ดันเม็ดเงินแตะ 3 หมื่นล้าน กลุ่มท็อปไฟว์ แห่ปรับราคาโฆษณา 10-20%

                - เอสซีจีเผยปี 2559 กำไรพุ่ง 24% จากปิโตรเคมี ขาขึ้น ประเมินยอดขายปี 2560 โต 5-10% จากแนวโน้ม น้ำมันขยับขึ้น ลงทุนภาครัฐหนุน ดันความต้องการใช้ปูนโต1-3% เตรียมรับการแข่งขันรุนแรงปีนี้ โบรกฯชี้มีโอกาสทำกำไรทุบสถิติ-ตั้งบอร์ดใหม่

                - ก.ล.ต.สางปมร้อน "ตั๋วบี/อี" เร่งแก้เกณฑ์จำกัดการขายเฉพาะกลุ่มนักลงทุนวงแคบไม่เกิน 10 คน บังคับใช้ภายใน 1-2 เดือน แจงกรณี "โบรกเกอร์"เสนอขายวงกว้างต้องออกเป็น"หุ้นกู้"พร้อมกำหนดสิทธิ์ผู้ถือหุ้นกู้เพื่อดูแลนักลงทุน เตรียมถกโบรกเกอร์ ที่ปรึกษาการเงิน แบงก์ด่วน

*หุ้นเด่นวันนี้

                - SCC (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 600 บาท กำไรสุทธิ 4Q16-11% Q-Q,+9% Y-Y ดีกว่าคาด จากส่วนต่างสินค้าปิโตรเคมีแข็งแกร่ง ทำให้กำไรทั้งปี 59 +24% Y-Y เป็น 5.6 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับปี 60 ยังคงคาดกำไร 5.04 หมื่นล้านบาท -10% Y-Y หดตัวมากกว่าคาดเดิม เพราะฐานที่สูงมากในปีก่อนเพราะธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ทำไว้ดีมากเกิน ความน่าสนใจอยู่ที่ PE ไม่แพงเพียง 12 เท่า และมีปันผลงวด H2/59 อีก 10.50 บาท/หุ้น (Yield 2.1%)

                - CPALL (ซีไอเอ็มบี) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 71 บาท ราคาปรับลดลงมากว่า 9.6% จากต้นปี (เทียบกับตลาดที่ +2.7% YTD) หลังมีข่าวสนใจซื้อกิจการค้าปลีกในโปแลนด์ (Zabka) มูลค่า 1,500 ล้านยูโรหรือ 5 หมื่นล้านบาท ทำให้ตลาดเป็นกังวลว่าอาจส่งผลให้ D/E เกินกว่า 3 เท่า สูงเกิน Bond covenants ที่ระดับ 2.5 เท่า แต่เมื่อวานนี้ CPALL ออกมาปฎิเสธแล้วว่าไม่ได้เข้าประมูล ดังนั้น ราคาหุ้นที่ underperform ตลาดและกลุ่มค้าปลีกมานับตั้งแต่ต้นปีจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี โดยราคา laggard กลุ่มค้าปลีก (-2.4% YTD) และตลาด (+2.7% YTD) อยู่มาก นักลงทุนอาจมีการ cover short หลังจากที่มีปริมาณการ short ไปกว่า 14 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 880 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่คาดกำไรโตเฉลี่ย 20% CAGR ในปี 58-61 จากการขยายกิจการเชิงรุกและมาร์จินสูงขึ้น

                - UNIQ (ไอร่า)"ซื้อ"เป้า 30 บาท ความสามารถในการทำกำไรโดดเด่นสุดในกลุ่ม แม้ระดับ Backlog และรายได้งานก่อสร้างจะต่ำเมื่อเทียบกับ ITD, CK และ STEC แต่ภายใต้โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างปัจจุบัน 7 โครงการ (ไม่รวมสายสีส้ม จำนวน 1 สัญญา ที่อยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง) ทำให้สามารถควบคุมงานก่อสร้างทั้งคุณภาพและต้นทุนจากส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีและสูงต่อเนื่อง โดยมี Gross Profit Margin เฉลี่ย 17% และ Net Profit Margin เฉลี่ยประมาณ 7% โดดเด่นสุดในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น ITD,CK และ STEC

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นต่อภาคบ่ายวันนี้ จากอานิสงส์ดาวโจนส์พุ่ง

                ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นต่อในการซื้อขายภาคบ่ายวันนี้ ภายหลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้มีการก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นมุมมองที่เป็นบวกของนักลงทุนภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเดินหน้านโยบายที่สะท้อนให้เห็นถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

                ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 23,365.01 จุด เพิ่มขึ้น 315.89 จุด, +1.37% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,688.09 จุด เพิ่มขึ้น 4.16 จุด +0.25% *ตลาดหุ้นอินเดียและออสเตรเลียปิดทำในการวันนี้

                ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเผยแพร่แล้วในวันนี้ ได้แก่ บริษัทรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมจีนมีกำไรเพิ่มขึ้นในปี 2559 โดยได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่เฟื่องฟู

                สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า กำไรของบริษัทรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมของจีนในปี 2559 ปรับตัวขึ้น 8.5% เทียบรายปี ซึ่งตรงกันข้ามกับปี 2558 ที่กำไรหดตัวลง 2.3%

                นายเหอ ปิง นักสถิติของ NBS กล่าวว่า บริษัทอุตสาหกรรมมีผลประกอบการที่ดีดขึ้น โดยศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.97%

                ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนจะปิดทำการตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. - 2 ก.พ.นี้ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารหนุนฟุตซี่ปิดบวก 14.09 จุด

            ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกครั้งแรกในรอบ 5 วันทำการเมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มสินค้าบริโภค อย่างไรก็ตาม การที่เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เป็นปัจจัยลบที่สกัดดัชนี FTSE 100 ให้ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย

                ดัชนี FTSE 100 ปิดเพิ่มขึ้น 14.09 จุด หรือ +0.20% ปิดที่ 7,164.43 จุด

                หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งตามทิศทางของธนาคารในยุโรป ภายหลังจากธนาคารหุ้นบังโค ซานตานเดร์ เปิดเผยผลประกอบการที่สดใส ซึ่งหนุนให้หุ้นบังโคพุ่งขึ้น 4%

                หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่ง 3.4% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 3.4% หุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 2.1% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1% และหุ้นเอชเอสบีซี ขยับขึ้น 0.7%

                อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเทียบดอลลาร์ โดยเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.2621 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 1.26 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว หลังจากที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษเปิดเผยว่า รัฐบาลจะทำการเผยแพร่รายงานสมุดปกขาวว่าด้วยกลยุทธ์การแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

                การแข็งค่าของปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อังกฤษ ซึ่งฉุดดัชนี FTSE 100 ให้ลดช่วงบวกลงเมื่อวานนี้

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นเฟรสนิลโล ร่วง 4.2% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอส ร่วง 3.3% หุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 1.8%

                อย่างไรก็ดี หุ้นแอนโตฟากาสตา พุ่งขึ้น 4.1% หลังบริษัทผู้ผลิตแร่โลหะรายใหญ่แห่งนี้ เผยว่า ยอดผลิตทองแดงในปี 2559 อยู่ที่ระดับ 709,400 ตัน ซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้า 13%

                หุ้นอื่นๆที่น่าจับตา หุ้นดับเบิลยู สมิธ บริษัทผู้จำหน่ายหนังสือและนิตยสารรายใหญ่ พุ่งขึ้น 7% หลังบริษัทดังกล่าวระบุว่า ผลกำไรของกลุ่มบริษัทในปีการเงินล่าสุดสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. 2559 อาจสูงกว่าที่คาดไว้

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดพุ่ง หลังดาวโจนส์พุ่งทะลุแนวต้าน 20,000 จุด

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดทะยานขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 ม.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นทะลุแนวต้านที่ระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก

                ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.3% ปิดที่ 366.59 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2558

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,806.05 จุด เพิ่มขึ้น 211.11 จุด หรือ +1.82% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,877.67 จุด เพิ่มขึ้น 47.64 จุด หรือ +0.99% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,164.43 จุด เพิ่มขึ้น 14.09 จุด หรือ +0.20%

                บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติพุ่งขึ้นเหนือระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีหลายฉบับ ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยรวมถึงการลงนามเพื่อเดินหน้าการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล และท่อส่งน้ำมันดาโกต้า แอคเซส

                หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบังโค ซานตานเดร์ พุ่งขึ้น 4% หลังจากธนาคารเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส ขณะที่หุ้นโซซิเอเต เจนเนอราล พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นยูนิเครดิต ทะยานขึ้น 8.9% และหุ้นดอยช์แบงก์ พุ่งขึ้น 5.8%

                หุ้นโลจิเทค อินเตอร์เนชั่นแนล ทะยานขึ้น 16% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

                อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจาก Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีปรับตัวลงสู่ระดับ 109.8 ในเดือนม.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 111.3

                ส่วนดัชนีภาวะธุรกิจในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 116.9 ในเดือนม.ค. สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ทำสถิติปิดเหนือ 20,000 จุด รับนโยบาย ทรัมป์,ผลประกอบการสดใส

            ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ (25 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตลาดได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐจะออกมาตรการที่เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทโบอิ้ง

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,068.51 จุด พุ่งขึ้น 155.80 จุด หรือ +0.78% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,656.34 จุด เพิ่มขึ้น 55.38 จุด หรือ +0.99% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,298.37 จุด เพิ่มขึ้น 18.30 จุด หรือ +0.80%

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากที่ทรัมป์ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีหลายฉบับ ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งรวมถึงการลงนามในคำสั่งให้เดินหน้าก่อสร้างท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล และท่อส่งน้ำมันดาโกต้า แอคเซส โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยหนุนความหวังที่ว่า รัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นการจ้างงาน ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น

                ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขานรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ในการปรับลดภาษี, ผ่อนคลายกฎระเบียบ และการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภค

                เจฟฟ์ ไคล์นท็อป หัวหน้านักวิเคราะห์การลงทุนระดับโลกจากชาร์ลส์ ชวาบ กล่าวว่า "นักลงทุนรายย่อยได้เริ่มเข้าซื้อหุ้นในตลาดอีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้ง ซึ่งการทะลุแนวต้าน 20,000 จุด ได้ทำให้นักลงทุนที่เคยอยู่นอกตลาด และถือเงินสดในมือ ต้องกลับเข้าตลาด และการพุ่งขึ้นของดาวโจนส์ยังทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาด"

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทโบอิ้งเปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.63 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.59 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.34 ดอลลาร์/หุ้น ทั้งนี้ หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้น 4.2%

                หุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ทะยานขึ้น 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ดีดขึ้น 1.4% และหุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ขยับขึ้น 0.9% ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า บริษัทรถยนต์ของสหรัฐจะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

                หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ขยับขึ้น 0.3% หลังจากบริษัทประกาศข้อตกลงซื้อกิจการ AppDynamics Inc มูลค่า 3.7 พันล้านดอลลาร์

                บริษัทอัลโค อิงค์ เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด พร้อมกับปรับเพิ่มอุปสงค์แร่อลูมีเนียมในปี 2560 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของบริษัทปิดร่วงลง 2.6% เมื่อคืนนี้

                นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนม.ค. , ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!