- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 18 January 2017 12:06
- Hits: 3881
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์จากความไม่แน่นอน Brexit แต่คาดเก็งกำไรแบงก์หนุน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากปัจจัยจากต่างประเทศมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น แต่ผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ที่ออกมาดีกว่าคาดยังช่วยทำให้เกิดแรงเก็งกำไรได้บ้าง
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในต่างประเทศเป็นเรื่องของการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมากล่าวว่า การออกจาก EU เป็นเรื่องยากลำบาก เพราะต้องขอเสียงโหวตจากรัฐสภาของอังกฤษอีกที เพื่อเข้าขบวนการออกอย่างแท้จริง ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าประชามติที่จะออกจาก EU อาจจะไม่มีผลก็ได้ และตลาดฯได้ตีความว่าอังกฤษไม่อยากออกจาก EU ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ดี คงจะต้องรอดูนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ด้วย ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ แต่ขณะนี้ได้มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
พร้อมให้แนวรับ 1,565-1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,575 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,826.77 จุด ลดลง 58.96 จุด (-0.30%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,538.73 จุด ลดลง 35.39 จุด (-0.63%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,267.89 จุด ลดลง 6.75 จุด (-0.30%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 59.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.01 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 48.36 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 9.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 11.97 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.35 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 ม.ค.60) 1,566.84 จุด ลดลง 4.96 จุด (-0.32%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 ม.ค.60) ปิดที่ 52.48 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 ม.ค.60) ที่ 7.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.30 แข็งค่าจากแรงเทขายดอลล์ จากการแสดงความเห็นของ"ทรัมป์
- หอการค้าไทย ประเมินน้ำท่วมใต้ หากยุติภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เสียหายไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท แต่หากลากยาว 1-2 เดือน เสียหายเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้าน เหตุยางพาราและปาล์มน้ำมันตายเกลี้ยง
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจโลกเดือน ม.ค. 2017 โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของโลก จะใหมอยู่ที่ 3.4% จากปัจจัยสหรัฐอเมริกาและจีนมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ ไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ ปีนี้จาก 2.2% เป็น 2.3% และปรับขึ้นคาดการณ์เศรษฐกิจจีนจาก 6.2% เป็น 6.5%
- นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2560 ได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งทางการประกาศให้เป็นพื้นที่อุทกภัย แบ่งเป็น 2 มาตรการ มาตรการแรก การยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งในลักษณะถาวรกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือในการซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุดหรือทรัพย์สินที่ติดตั้งในลักษณะถาวรกับห้องชุดในอาคารชุดที่ได้มีการจ่ายไประหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2559-31 พ.ค. 2560 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดไม่เกิน 1 แสนบาท
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ได้อนุมัติการจัดสรรงบประมาณของงบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2560 วงเงินรวม 1.9 แสนล้านบาท และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด
*หุ้นเด่นวันนี้
- BIG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" แนวโน้ม 4Q59 อาจดีกว่าที่เราและตลาดเคยประเมินไว้ และเป็นไปได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งจากสินค้าใหม่ที่เปิดตัวจำนวนมาก และแรงหนุนจากมาตรการช้อปช่วยชาติปลายปี ขณะที่โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆแม้พัฒนากล้องดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถแทนที่กล้องจริงได้ ประกอบกับ BIG ขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันเพื่อลดความผันผวนจากการขายกล้อง มีแนวโน้มปรับกำไรและราคาพื้นฐานขึ้น เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 6.40-6.90 บาท
- KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"กำไรสุทธิ 4Q59 ดีกว่าคาด โดย -5.6% Q-Q, +87% Y-Y จากค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคาด สำหรับกำไรทั้งปี 59 +1.8% Y-Y ถือว่าแข็งแกร่งเพราะเป็นปีแห่งการตั้งสำรองเพิ่มแต่ KBANK ยังสามารถทำให้กำไรเติบโตได้ ส่วน NPL เริ่มนิ่งและ Coverage ratio สูงอยู่ที่ 131% มีแนวโน้มปรับเพิ่มกำไรและราคาพื้นฐานที่ให้ไว้ 202 บาท
- BANPU (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 23.60 บาท อิงวิธี SOTP ภายใต้สมมติฐานราคาขายถ่านหินเฉลี่ย 70 เหรียญฯต่อตัน ด้วยปัจจัยหนุน (1) ธุรกิจถ่านหินฟื้นจากอานิสงส์นโยบายจีนควบคุมการผลิตภายในประเทศ (2) ปริมาณขายถ่านหินจากการเข้าทำสัญญาขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น (3) ปริมาณส่งออกถ่านหินจากออสเตรเลียไปจีนทำจุดสูงสุดในรอบ 15 ปี โดยประเมิน Sensitivity Analysis บนกำไรสุทธิต่อปีพบว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น ราว 1.19 พันล้านบาท หากราคาขายเฉลี่ยที่เหมืองออสเตรเลียปรับเพิ่มขึ้นจาก 67 เหรียญฯต่อตัน เป็น 72 เหรียญฯต่อตัน หรือคิดเป็น Upside ต่อหุ้น ราว 2.89 บาท อิง PER 12 เท่า (4) ประเมินกำไรส่วนเพิ่มต่อปีไว้ที่ 121 ล้านบาท และมูลค่าพื้นฐานส่วนเพิ่มไว้ที่ 1.14 บาทต่อหุ้น จากการเข้าแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 ที่ในสหรัฐฯ (5) คาดกำไร 4Q59F เป็น New High ของปี 59
- SCB (โกลเบล็ก) เป้า 172 บาท สินเชื่อเติบโตที่สุดในกลุ่ม 11M59 สินเชื่อสุทธิเติบโต 4.6%YTD สูงที่สุดในกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 59 ราว 4.6 หมื่นลบ. -3% และกำไรปี 60 ราว 4.94 หมื่นลบ. +7% โดยมีอัพไซต์จากการกลับสำรองหนี้สูญจำนวน 1.1 หมื่นลบ.ลูกหนี้กลุ่ม SSI
ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงเช้านี้ หลังนายกฯอังกฤษเผยแผน Brexit - จับตาทรัมป์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงที่แข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ เกี่ยวกับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐก่อนหน้าที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.นี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,753.96 จุด ลดลง 59.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,104.77 จุด ลดลง 4.01 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,889.33 จุด เพิ่มขึ้น 48.36 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,344.74 จุด ลดลง 9.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,073.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,000.80 จุด ลดลง 11.97 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,663.38 จุด เพิ่มขึ้น 0.35 จุด
ทั้งนี้ นางเทเรซา เมย์ กล่าวว่า อังกฤษจะถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป ขณะที่จะหาทางทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งยังระบุด้วยว่าจะทำให้อังกฤษกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ โดยการถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) และจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป
นางเมย์จะเริ่มกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. โดยจะใช้เวลา 2 ปี ซึ่งนางเมย์จะใช้หลักการเจรจา 4 ข้อ ได้แก่ ความแน่นอนและความชัดเจน การทำให้อังกฤษมีความแข็งแกร่งขึ้น การทำให้อังกฤษมีสภาพที่ดีขึ้น และการทำให้อังกฤษมีความเป็นระดับโลกอย่างแท้จริง
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 106.75 จุด หลัง เทเรซา เมย์ เผยแผน Brexit
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือนเมื่อวานนี้ (17 ม.ค.) สืบเนื่องจากถ้อยแถลงที่แข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ เกี่ยวกับแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 106.75 จุด หรือ 1.46% ปิดที่ 7,220.38 จุด
ดัชนีหุ้นอังกฤษร่วงลงอย่างหนัก ภายหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้แถลงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการ Brexit โดยนางเมย์ยืนยันว่า อังกฤษจะถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป แต่ในขณะเดียวกันก็จะหาทางทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งยังระบุด้วยว่าเธอจะทำให้อังกฤษกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ โดยการถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) และจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป
นางเมย์จะเริ่มกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. โดยจะใช้เวลา 2 ปี ซึ่งนางเมย์จะใช้หลักการเจรจา 4 ข้อ ได้แก่ ความแน่นอนและความชัดเจน, การทำให้อังกฤษมีความแข็งแกร่งขึ้น, การทำให้อังกฤษมีสภาพที่ดีขึ้น และการทำให้อังกฤษมีความเป็นระดับโลกอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับผลกระทบจากการที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นด้วยปัจจัยบวกหลังจากนางเมย์กล่าวว่า ข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เพิ่มขึ้น 2.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 2.8% และหุ้นเอชเอสบีซี ลดลง 2%
หุ้นอื่นๆที่น่าจับตา หุ้นโรลส์รอยซ์ โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน พุ่งขึ้น 4.4% หลังบริษัทเปิดเผยว่า ทางบริษัทจะจ่ายเงินค่าปรับวงเงิน 810 ล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการสอบสวนในคดีคอรัปชั่นกับสหรัฐ อังกฤษ และหน่วยงานอื่นๆ
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษที่มีการเปิดเผยออกมานั้น อังกฤษเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อรายปีพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ปี 2557 จากปัจจัยราคาค่าตั๋วเครื่องบินและอาหารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดนี้ยังเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางที่สอดคล้องตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 2%
ขณะที่นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษ (BoE) กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เขาคาดว่าราคาที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะฉุดรั้งเศรษฐกิจของอังกฤษให้ขยายตัวช้าลง
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย หลังนายกฯอังกฤษแถลงแผน Brexit
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (17 ม.ค.) โดยพยุงตัวขึ้นจากที่ร่วงลงในช่วงแรกของการซื้อขาย ภายหลังนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ ระบุว่าข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลส่วนหนึ่งของนักลงทุนเกี่ยวกับประเด็นที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเด็ดขาดจนส่งผลกระทบที่รุนแรง (hard Brexit)
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.55 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 362.42 จุด หลังจากที่ร่วงลงไปถึง 0.7% ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะแถลง
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,859.69 จุด ลดลง 22.49 จุด หรือ -0.46% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,540.00 จุด ลดลง 14.71 จุด หรือ -0.13% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,220.38 จุด ลดลง 106.75 จุด หรือ -1.46%
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แถลงรายละเอียดสำหรับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยนางเมย์กล่าวว่า อังกฤษจะถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป ขณะที่จะหาทางทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งยังระบุด้วยว่าจะทำให้อังกฤษกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ โดยการถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) และจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป
นางเมย์จะเริ่มกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. โดยจะใช้เวลา 2 ปี ซึ่งนางเมย์จะใช้หลักการเจรจา 4 ข้อ ได้แก่ ความแน่นอนและความชัดเจน, การทำให้อังกฤษมีความแข็งแกร่งขึ้น, การทำให้อังกฤษมีสภาพที่ดีขึ้น และการทำให้อังกฤษมีความเป็นระดับโลกอย่างแท้จริง
นายกฯอังกฤษกล่าวว่า เธอต้องการให้อังกฤษเป็น "มิตรและเพื่อนบ้านที่ดีที่สุด" ของยุโรปต่อไป แต่ก็จะทำการค้ากับประเทศอื่นๆ อย่าง จีน บราซิล และกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เธอยืนยันว่า ข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งขึ้นไปถึงราว 3% หลังจากที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวว่า ข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา นอกจากนี้ ปอนด์ยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นางเมย์ระบุว่า อังกฤษจะทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) หลังถอนตัวจากตลาดร่วมยุโรป
เงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นอังกฤษดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษได้ปรับตัวขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง เนื่องจากบริษัทต่างๆที่ทำธุรกิจในต่างประเทศจะมีกำไรมากขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่มีการเปิดเผยวานนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป หรือ ZEW เปิดเผยว่า ดัชนีคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 16.6 จุดในเดือนม.ค. จากระดับ 13.8 จุดในเดือนธ.ค.
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเร็วขึ้นแตะ 1.6% ในเดือนธ.ค. จาก 1.2% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2557
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 58.96 จุด หลังหุ้นการเงิน,ดอลล์ร่วงหนัก
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันอังคาร (17 ม.ค.) จากแรงขายหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐแสดงความเห็นว่า ดอลลาร์ที่แข็งค่ากำลังสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายส่วนหนึ่งยังได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงที่แข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ เกี่ยวกับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 58.96 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 19,826.77 จุด ดัชนี S&P500 ลดลง 6.75 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,267.89 จุด ดัชนี NASDAQ ลดลง 35.39 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 5,538.73 จุด
ดอลลาร์ร่วงลงอย่างหนัก โดยในการให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์ นายทรัมป์กล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเกินไป เพราะจีนพยายามทำให้เงินหยวนของตนเองนั้นอ่อนค่าลง ระบุบริษัทของสหรัฐไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทของจีนได้ เพราะสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเกินไป และสิ่งนี้กำลังส่งผลกระทบต่อสหรัฐ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการในวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และกลับมาเปิดซื้อขายวันแรกของสัปดาห์ในวันอังคาร
ขณะเดียวกัน การที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวแถลงการณ์วานนี้ โดยระบุรายละเอียดสำหรับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็ได้สร้างความวิตกต่อนักลงทุนเช่นกัน
นางเมย์ กล่าวว่า อังกฤษจะถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป ขณะที่จะหาทางทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งยังระบุด้วยว่าจะทำให้อังกฤษกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ โดยการถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) และจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป
นางเมย์ จะเริ่มกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. โดยจะใช้เวลา 2 ปี ซึ่งนางเมย์จะใช้หลักการเจรจา 4 ข้อ ได้แก่ ความแน่นอนและความชัดเจน, การทำให้อังกฤษมีความแข็งแกร่งขึ้น, การทำให้อังกฤษมีสภาพที่ดีขึ้น และการทำให้อังกฤษมีความเป็นระดับโลกอย่างแท้จริง
นายกฯอังกฤษกล่าวว่า เธอต้องการให้อังกฤษเป็น "มิตรและเพื่อนบ้านที่ดีที่สุด" ของยุโรปต่อไป แต่ก็จะทำการค้ากับประเทศอื่นๆ อย่าง จีน บราซิล และกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เธอยืนยันว่า ข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา
นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าถ้อยแถลงของนางเมย์จะส่งผลกระทบต่อตลาด ซึ่งเธอก็สามารถจัดการกับการคาดการณ์ดังกล่าวและแถลงออกมาได้ดี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยวานนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนม.ค. ขณะที่ได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่
โดยดัชนีภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 6.5 ในเดือนม.ค. จากระดับ 7.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 0 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว
ในส่วนของข่าวคราวความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจนั้น หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วง 3.79% แม้ธนาคารรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีเกินคาดก็ตาม
หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค (BAT) ร่วง 3.83% ขณะที่หุ้นเรย์โนลด์ อเมริกัน อิงค์ บวก 3.06% หลังบริษัทบริติช อเมริกัน โทแบคโค ประกาศซื้อกิจการของบริษัทเรย์โนลด์ อเมริกัน อิงค์ ในข้อตกลงวงเงิน 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะสร้างบริษัทบุหรี่จดทะเบียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้ BAT จะเข้าซื้อหุ้น 57.8% ของเรย์โนลด์ที่ทางบริษัทยังไม่ได้ถือครอง โดยผู้ถือหุ้นเรย์โนลด์จะได้รับเงินสด 29.44 ดอลลาร์/หุ้น รวมทั้งได้รับหุ้น BAT จำนวน 0.5260 หุ้น ข้อตกลงดังกล่าวจะรวมกิจการของ BAT ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ยังไม่เข้มแข็งเท่ากับในสหรัฐและยุโรป เข้ากับกิจการของเรย์โนลด์ ซึ่งเน้นหนักในการดำเนินธุรกิจในสหรัฐ
อินโฟเควสท์