- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 12 January 2017 13:47
- Hits: 1412
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-อิงขาขึ้น หลังทรัมป์แถลงข่าว,บาทแข็งค่ากระตุ้นเงินไหลเข้า
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นขานรับปัจจัยบวกจากการแถลงการณ์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีนโบบายต่าง ๆ เป็นบวกต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เงินบาทก็แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระแสเงินต่างประเทศไหลเข้า ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกกัน ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า
อย่างไรก็ดี คืนนี้ให้ติดตามการแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และประธานเฟดหลายสาขาจะมาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และทิศทางอัตราดอกเบี้ย
พร้อมให้แนวรับ 1,568-1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,575 ถัดไป 1,583-1,585 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,954.28 จุด เพิ่มขึ้น 98.75 จุด (+0.50%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,563.65 จุด เพิ่มขึ้น 11.83 จุด (+0.21%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,275.32 จุด เพิ่มขึ้น 6.42 จุด (+0.28%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 64.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.15 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 21.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 10.38 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.77 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.43 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ม.ค.60) 1,572.93 จุด เพิ่มขึ้น 0.83 จุด (+0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 352.54 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ม.ค.60) ปิดที่ 52.25 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ม.ค.60) ที่ 6.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.40 แข็งค่าจากแรงเทขายดอลล์ หลังมองนโยบายศก."ทรัมป์"ยังไม่ชัดเจน
- เวิลด์แบงก์คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ ขยายตัวมากกว่าปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 2.7% หลังราคาน้ำมันดีดตัว ชี้การเติบโตในระดับสูงขึ้นของอเมริกา เป็นผลดีต่อทั้งโลก แต่ดอกเบี้ยสูงอาจกระทบตลาดเกิดใหม่ คาดเศรษฐกิจไทย ขยายตัว 3.2% เตือนความไม่แน่นอนจากนโยบายรัฐบาลใหม่สหรัฐ ฉุดรั้งการลงทุน
- "สมคิด"มั่นใจ GDP ปีนี้โตได้กว่า 3-4% ปลัดคลัง"น้อยใจ"เอกชน ไม่ยอมลงทุน ยืนยันกระทรวงการคลังยังไม่ "ถังแตก" ด้านเอกชนยืนยันลงทุนเฉพาะด้านจับตาการเลือกตั้ง-ปัจจัยบวกต่างประเทศกระตุ้นส่งออก ท่องเที่ยวฟื้น
- ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ และให้นโยบายว่าจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2560 ให้ได้ตามเป้าหมาย 95% ตามมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบไว้ก่อนหน้านี้
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การเก็บรายได้ของรัฐบาล 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 สามารถเก็บได้ 5.52 แสนล้านบาทสูงกว่า เป้าหมาย 2.7 หมื่นล้านบาทหรือ 5.2% เนื่องจากการเก็บรายได้กรมสรรพากรเกินเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท การนำส่งรายได้รัฐวิสาหกิจเกินเป้า 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตต่ำกว่าเป้า 2,100 ล้านบาท เนื่องจากการเก็บภาษีในเดือน ธ.ค. 2559 เริ่มกลับมาเกินเป้า หลังจากที่สองเดือนก่อนหน้านั้นเก็บได้ต่ำกว่าเป้า และกรมศุลกากรเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้า 5,000 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- DTAC (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 50 บาท คาดงบฯไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 528 ล้านบาท -20% qoq, -47% yoy ผลจาก 1) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นตามปกติ และ 2) ค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุน ปรับประมาณการ ประเมินกำไรปี 60 ที่ 2,896 ล้านบาท + 12% จากค่าตัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุน และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ยังเพิ่มสูงขึ้นเพื่อรักษาฐานของลูกค้า การลงทุนในโครงข่ายเพื่อให้บริการครอบคลุมและดียิ่งขึ้น ตอกย้ำมุมมองมูลค่าหุ้นด้วย Asset-Based Approach หรือ Replacement cost ด้วยการให้มูลค่าของลูกค้า 25 ล้านเลขหมายที่ 4,500 บาทต่อเลขหมาย
- TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"ปรับเป้าขึ้นเป็น 11.50 บาท จาก 9.50 บาท จากการปรับเพิ่มกำไรปี 60 ขึ้น 6% ทำให้เติบโตสูงขึ้นเป็น 68% Y-Y หลังเห็นความชัดเจนในสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นหลายรายการ เช่น Jump Start, Sawasdee และทำให้การเติบโตของกำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 30% ต่อปี โดดเด่นกว่ากลุ่มเครื่องดื่มที่ consensus คาดโตเฉลี่ย 17% ต่อปี สำหรับกำไรใน 4Q59 คาดว่าจะน่าประทับใจ +25% Q-Q, +107% Y-Y ทำให้ทั้งปี +50%
- PACE (ฟันันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.30 บาท ปรับผลงานปี 59 จากกำไรกว่า 400 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 2 พันล้านบาทเพราะการโอนมหานครล่าช้า แต่เชื่อ turnaround ชัดเจนในปีนี้ คาดจะพลิกเป็นกำไรเป็นครั้งแรก 891 ล้านบาทหลังยอดโอนคอนโดมหานครเข้ามามากตั้งแต่ Q2/60 และโตต่อเนื่อง 50% ในปีหน้าจากโรงแรมและจุดชมวิวที่จะเริ่มให้บริการปลายปีนี้ กำไรลดลงจากประมาณการเดิมเพราะสัดส่วนการถือหุ้นในโรงแรมและจุดชมวิวที่ลดลงเหลือ 51% ราคาหุ้นพักฐานทำให้ upside เปิดกว้างขึ้น
- DRT (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้าพื้นฐาน 5.6 บาท คาด 1Q60 แนวโน้มเติบโตเด่นจาก High season และหากปัญหาน้ำท่วมภาคใต้จบเร็ว คาดดีมานด์วัสดุก่อสร้างเพื่อซ่อมแซมมีโอกาสเพิ่มขึ้นปลายไตรมาส รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรฟื้นเป็นบวกต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัด พร้อมประเมินกำไรปี 60 = 440 ล้านบาท (EPS 0.42 บาท/หุ้น) คิดเป็น PE ที่ต่ำเพียง 13.1 เท่า (ถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี = 16 เท่า และเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละ 15%)
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ หลัง ทรัมป์ แถลงข่าวสื่อมวลชน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขานรับดัชนี NASDAQ ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 5 รวมถึงการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะสร้างงานครั้งใหญ่ในสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,300.19 จุด ลดลง 64.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,133.60 จุด ลดลง 3.15 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,956.44 จุด เพิ่มขึ้น 21.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,356.12 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,077.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,010.71 จุด เพิ่มขึ้น 9.77 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,675.64 จุด เพิ่มขึ้น 0.43 จุด
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ ณ อาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในกรุงนิวยอร์ก โดยได้ประกาศว่าจะเดินหน้าสร้างงานครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนในการวางมือจากธุรกิจเพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนของผลประโยชน์เมื่อเขาเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ด้วยการประกาศถอนตัวจากอาณาจักรธุรกิจของตนเอง โดยเขาจะโอนทรัพย์สินทั้งหมดเข้าสู่กองทุนทรัสต์แห่งหนึ่ง และจะแต่งตั้งให้บุตรชายคนที่ 1 และ 2 เป็นผู้บริหารกิจการแทน นอกจากนี้ ทรัมป์จะลาออกจากทุกตำแหน่งในธุรกิจโรงแรม สนามกอล์ฟ และธุรกิจอื่นๆอีกหลายร้อยแห่ง
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 15.02 จุด ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มส่งออก
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ (11 ม.ค.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 10 วันทำการ จากแรงซื้อของหุ้นกลุ่มส่งออกซึ่งได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวก 15.02 จุด หรือ 0.21% แตะที่ 7,290.49 จุด
ดัชนี FTSE 100 ยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์อย่างต่อเนื่อง โดยนายนีล วิลสัน นักวิเคราะห์อาวุโสแห่งอีทีเอ็กซ์ แคปิตอล ระบุว่า เงินปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเช่นนี้ต่อไป แต่จะเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อรัฐบาลอังกฤษสามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการ Brexit
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนจากการที่นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการคลัง (Treasury Select Committee) ของรัฐสภา ว่า กระบวนการ Brexit ไม่ใช่ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่จะฉุดเศรษฐกิจของอังกฤษเข้าสู่ทิศทางขาลงอีกต่อไป
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเวชภัณฑ์ปรับตัวลง ภายหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐ กล่าวแถลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวานนี้ โดยเขาได้ย้ำจุดยืนที่จะปกป้องอุตสาหกรรมยาของสหรัฐ และพร้อมจะสร้างระบบประมูลใหม่และออกกฎหมายใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยา เพื่อรักษาระดับราคาเวชภัณฑ์ในประเทศให้มีเสถียรภาพ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคอุตสาหกรรมยาของอังกฤษ
หุ้นไชร์ ร่วงลง 3.2% หุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคอลส์ ลดลง 1.2% หุ้นแอสทราเซเนกา ลดลง 1.8% และหุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ลดลง 0.8%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่น่าจับตา หุ้นเซนส์บิวรี ซึ่งเป็นห้างซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่อันดับสองของอังกฤษ เพิ่มขึ้น 1% หลังบริษัทเปิดเผยยอดขายปลีก (ยกเว้นเชื้อเพลิง) ปรับตัวขึ้น 0.8% ในช่วงเวลา 15 สัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 7 ม.ค.
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: แรงซื้อหุ้นพลังงาน หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม แรงบวกได้ถูกสกัดลง เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยา ในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 364.90 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,888.71 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด หรือ +0.01% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,646.17 จุด เพิ่มขึ้น 62.87 จุด หรือ +0.54% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,290.49 จุด เพิ่มขึ้น 15.02 จุด หรือ +0.21%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ภายหลังจากซาอุดิอาระเบียได้ส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะปรับลดกำลังการผลิต ทั้งนี้ หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นโททาล ขยับขึ้น 0.6% และหุ้นสแตทออยล์ เอเอสเอ ดีดขึ้น 0.6%
หุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากคณะกรรมการของบริษัทโฟล์คสวาเกน เอจี ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ได้ให้การอนุมัติต่อข้อตกลงในการจ่ายค่าปรับวงเงิน 4.3 พันล้านดอลลาร์ต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เพื่อยุติการดำเนินคดีทางอาญาและทางแพ่งกรณีโกงการตรวจสอบมลพิษจากไอเสียของรถยนต์ดีเซล
ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเดมเลอร์ ขยับขึ้น 0.8% หุ้นปอร์เช่ ออโต้โมบิล โฮลดิ้ง ทะยานขึ้น 4% และหุ้นเรโนลท์ ดีดขึ้น 0.6%
อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดหุ้นยุโรปได้ถูกสกัดลงในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากนายทรัมป์ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยา โดยระบุว่า อุตสาหกรรมยาของสหรัฐขณะนี้อยู่ในภาวะย่ำแย่ และรัฐบาลภายใต้การนำของเขาจะสร้างระบบประมูลใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยา
ทั้งนี้ หุ้นแอสทราเซเนกา ร่วงลง 1.8% และหุ้นซาโนฟี ดิ่งลง 1.3%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 98.75 จุด หลังทรัมป์แถลงข่าวสื่อมวลชน
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) โดยดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ขณะที่ดัชนี NASDAQ ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 5 หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ โดยทรัมป์ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะสร้างงานครั้งใหญ่ในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากที่ทรัมป์ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยาในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งนี้
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,954.28 จุด เพิ่มขึ้น 98.75 จุด หรือ +0.50% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,563.65 จุด เพิ่มขึ้น 11.83 จุด หรือ +0.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,275.32 จุด เพิ่มขึ้น 6.42 จุด, +0.28%
ดัชนี ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ ณ อาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในกรุงนิวยอร์ก โดยทรัมป์ได้ประกาศว่าเขาจะเดินหน้าสร้างงานครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ขณะเดียวกันทรัมป์ได้แสดงจุดยืนในการวางมือจากธุรกิจเพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนของผลประโยชน์เมื่อเขาเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ด้วยการประกาศถอนตัวจากอาณาจักรธุรกิจของตนเอง โดยเขาจะโอนทรัพย์สินทั้งหมดเข้าสู่กองทุนทรัสต์แห่งหนึ่ง และจะแต่งตั้งให้บุตรชายคนที่ 1 และ 2 เป็นผู้บริหารกิจการแทน นอกจากนี้ ทรัมป์จะลาออกจากทุกตำแหน่งในธุรกิจโรงแรม, สนามกอล์ฟ และธุรกิจอื่นๆอีกหลายร้อยแห่ง
ส่วนดัชนี NASDAQ ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 5 วันทำการ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดยหุ้นไมโครซอฟท์ หุ้นเฟซบุ๊ก และหุ้นแอปเปิล อิงค์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากมีรายงานว่า ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้แจ้งต่อลูกค้าให้ทราบเรื่องการปรับลดการส่งมอบน้ำมันดิบในเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลง หลังจากนายทรัมป์ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยาในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า อุตสาหกรรมยาของสหรัฐขณะนี้อยู่ในภาวะย่ำแย่ และรัฐบาลภายใต้การนำของเขาจะสร้างระบบประมูลใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยา
ทั้งนี้ หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ ร่วงลง 5.3% หุ้นเอนโด อินเตอร์เนเชั่นแนล ดิ่งลง 2% หุ้นเพอร์ริโก ร่วงลง 6.9% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 1.2% และหุ้น Abbvie ดิ่งลง 3.6% อย่างไรก็ตาม หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.9% หลังจากมีรายงานว่า คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอนุมัติให้มีการทบทวนยารักษาโรคมะเร็งปอดของบริษัท
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน, ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และแบงก์ ออฟ อเมริกา
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อินโฟเควสท์