WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET35ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้อิงลง-วอลุ่มบางเริ่มชะลอเทรดใกล้ช่วงเทศกาล Fund Flow ยังไหลออก

     นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะเงียบ ๆ อาจปรับตัวลงได้เล็กน้อย เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงเช่นกัน และวอลุ่มตลาดฯก็น่าจะน้อยลงด้วย เพราะนักลงทุนเริ่มหยุดเทรดกันแล้ว

     ทั้งนี้ มองกันว่าปีหน้าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้น ทำให้ต้นปีอาจต้องจัดพอร์ตกันใหม่ ดังนั้น จึงมีการทยอยโยกเม็ดเงินออกจาก Emerging Market ไปก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทาง Fund Flow ยังคงไหลออก

     อย่างไรก็ดี บ้านเรายังมีมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามาช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้บ้าง แต่คงจะกระตุ้นไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน เพราะมาตรการนี้เคยใช้มาแล้ว ส่วนเม็ดเงินจากองทุน LTF-RMF ก็น่าจะทยอยเข้ามามากขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ แต่ต้นปียังมีบางส่วนที่จะไถ่ถอน สำหรับการทำ Window Dressing ปีนี้คงไม่จำเป็นเท่าไร เพราะตลาดฯปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว

พร้อมให้แนวรับ 1,500 จุด ส่วนแนวต้าน 1,520 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,941.96 จุด ลดลง 32.66 จุด (-0.16%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,471.43 จุด ลดลง 12.51 จุด (-0.23%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,265.18 จุด ลดลง 5.58 จุด (-0.25%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 47.64 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 9.58 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 0.03 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 2.05 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.56 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ธ.ค.59) 1,508.57 จุด ลดลง 3.08 จุด (-0.20%)

      - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,617.30 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ธ.ค.59) ปิดที่ 52.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.5%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ธ.ค.59) ที่ 6.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.99 แข็งค่าจากเย็นวานนี้ หลังมีแรงขายดอลลาร์,มองกรอบวันนี้ 35.95-36.05

    - คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยปีนี้ประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะโต 3.2% เช่นเดียวกับปีหน้าที่น่าจะโต 3.2% เนื่องจากแรงส่งทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงจากการประชุมครั้งก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

     -  เรกูเลเตอร์มีมติปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2560 ลดลง 4 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าเอฟทีอยู่ที่ติดลบ 37.29 สตางค์/หน่วย เพื่อเป็นการลดภาระกับประชาชน ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนในรอบบิลอยู่ที่ 3.3827 บาท/หน่วย

   - ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยช่วงไตรมาสแรกปี 60 มีประมาณ 8.71 ล้านคน ลดลง 3.64% เทียบกับไตรมาสแรกปี 59 เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญต่อเนื่องไตรมาส 4 ปีนี้ แม้ว่าสถานการณ์การเดินทางจีนจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย นักท่องเที่ยวทยอยเดินทางกลับประมาณ 60-70% ซึ่งเชื่อว่าการเดินทางจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้งปลายเดือน มี.ค.

      - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจปี 60 โต 3.3% เท่าปีนี้ หวังแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาคเอกชน-งบเพิ่มเติมกลางปีช่วยชดเชยการบริโภค-ท่องเที่ยวที่ชะลอ ขณะที่ภาคการเงินยังเผชิญความผันผวน เอ็นพีแอลยังเพิ่มคาดพีคไตรมาสปีหน้าหากเศรษฐกิจ-สินเชื่อโตตามคาด

      - ธปท.เผยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาแตะ 36 บาท/เหรียญสหรัฐ แม้จะอ่อนเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ช่วยทำให้ผู้ส่งออกมีสภาพคล่องเมื่อแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น แต่ถ้าดูดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งเทียบค่าเงินบาทกับคู่ค้าคู่แข่งทั่วโลก เงินบาทยังแข็งค่าขึ้น และเมื่อเทียบเงินบาทกับสกุลเพื่อนบ้านก็แข็งขึ้นด้วย

     - ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้ 3.69 แสนล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย 1.97 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจเกินเป้า 1.1 หมื่นล้านบาท และการส่งรายได้ของหน่วยงานอื้นเกินเป้าหมาย 9,000 ล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

      - AMA (บมจ. อาม่า มารีน) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ ราคาเสนอขาย IPO ที่ 9.99 บาท/หุ้น ด้านบล.ทรีนีตี้ ประเมินราคาเป้าหมายสำหรับปี 2560 ที่ 15.20 บาท อ้างอิงระดับ PE แบบอนุรักษ์นิยม ที่ 23 เท่า เทียบกับบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดฯ ณ ราคาเป้าหมายคิดเป็นระดับ Forward PER 23 เท่า และ ระดับ PEG ต่ำเพียง 0.42 นอกจากนี้ ยังคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะอยู่ที่ราวร้อยละ 1.7 ต่อปี

     บมจ. อาม่า มารีน ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทั้งทางเรือและทางรถ โดยบริษัทให้บริการขนส่งทางเรือสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ โดยมีเส้นทางให้บริการหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และมีบริษัทย่อยให้บริการขนส่งทางรถบรรทุกในประเทศสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและไบโอดีเซล B100

     - EPCO-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 95,695,692 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 9.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งออกวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 พ.ค. 2560 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 30 พ.ย. 2560

    - รฟม.สรุปเจรจาสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายกับ BEM แล้ว จากนี้ใช้เวลาอย่างช้าไม่เกิน 3 เดือนในการพิจารณาในขั้นของสคร., รมว.คมนาคม, และครม. ทั้งนี้ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจะให้เวลาสัมปทาน 33 ปี (3 ปีแรกเป็นงานก่อสร้าง) สิ้นสุดปี 2050 และขยายเวลาสัมปทานของสีน้ำเงินปัจจุบันถึง 21 ปีให้มาสิ้นสุดในปี 2050 เท่ากัน จากเดิมที่สิ้นสุดปี 2029 เรายังแนะนำซื้อ BEM ราคาพื้นฐาน 12 บาท ส่วนการเดินรถ 1 สถานี บางซื่อ-เตาปูน จะเป็นการว่าจ้าง BEM ให้เป็นผู้เดินรถ จะนำเข้าครม.อังคารหน้า ถ้าผ่าน จะเซ็นสัญญาภายในสิ้นปีนี้ (ฟินันเซีย ไซรัส)

      - SPALI (ฟิลลิป) "ซื้อ"เป้า 28 บาท แนวโน้มกำไรปีหน้าเติบโตชัดเจน ราคาหุ้นซื้อขาย P/E-2560 แค่ 7 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ในอดีตที่ 9 เท่า รวมทั้ง Yield ที่ 5-6% และทางบริษัทกำลังอยู่ระหว่างเจรจาขายอาคารสำนักงานที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งทางบริษัทซื้อมาเมื่อกลาง ปี 2556 ต้นทุนทางบัญชีที่ 900 ลบ หากประเมินราคาตลาดของทรัพย์สินนี้เพิ่ม 40% จะมีกำไรพิเศษหลังหักภาษีราว 288 ลบ เป็นส่วนเพิ่มจากประมาณการปี 60 ทั้งนี้คาดว่าจะมีข้อสรุปการขายอาคารนี้ในปี 60

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดอ่อนแรงลงเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ปิดลบติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบด้วย

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,396.85 จุด ลดลง 47.64 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,132.16 จุด ลดลง 5.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,800.22 จุด ลดลง 9.58 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,204.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.03 จุด

     ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,041.61 จุด เพิ่มขึ้น 3.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,899.65 จุด ลดลง 2.05 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,629.03 จุด ลดลง 0.56 จุด

      ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบร่วงลง 1.5% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะปรับตัวลง

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงเทขายทำกำไรฉุดฟุตซี่ปิดลบ 2.54 จุด

   ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (21 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร ภายหลังจากดัชนี FTSE 100 ปิดบวกต่อเนื่อง 4 วันทำการก่อนหน้านี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จับตาดูว่าดัชนี FTSE 100 จะสามารถประคองตัวอยู่เหนือระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 7,000 จุดไว้ได้ภายในสิ้นปีนี้หรือไม่

     ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 2.54 จุด หรือ 0.04% แตะที่ 7,041.42 จุด

      หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เพิ่มขึ้น 0.9% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 0.5%

      ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าของสวิตเซอร์แลนด์สั่งปรับเงินธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งรวมมูลค่าประมาณ 99 ล้านฟรังก์สวิส (96.3 ล้านดอลลาร์) หลังตรวจสอบพบความผิดฐานปั่นอัตราดอกเบี้ย

      หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นบีพี เพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากที่ยูบีเอสได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนในหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ดังกล่าว

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : วิตกภาคธนาคารอิตาลี ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (21 ธ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารของอิตาลี หลังจากธนาคาร Monte dei Paschi di Siena (BMPS) ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี ออกมายอมรับว่า ทางธนาคารอาจดำเนินธุรกิจได้เพียง 4 เดือน หากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.2% ปิดที่ 360.56 จุด

     ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,833.82 จุด ลดลง 16.07 จุด หรือ -0.33% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,468.64 จุด เพิ่มขึ้น 3.90 จุด หรือ +0.03% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,041.42 จุด ลดลง 2.54 จุด หรือ -0.04%

     ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารของอิตาลี หลังจากธนาคาร BMPS ซึ่งเป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี ซึ่งกำลังประสบปัญหาการเงิน ได้ออกมายอมรับเมื่อวานนี้ว่า ทางธนาคารอาจประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดในการดำเนินงานเร็วกว่าที่คาดไว้ หากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้

     ก่อนหน้านี้ ธนาคาร BMPS เปิดเผยว่า สถานะสภาพคล่องจำนวน 1.06 หมื่นล้านยูโร (1.15 หมื่นล้านดอลลาร์) จะช่วยให้ธนาคารดำเนินกิจการต่อไปได้อีก 11 เดือน แต่เมื่อวานนี้ ธนาคารยอมรับว่า ด้วยสภาพคล่องดังกล่าว ธนาคารอาจอยู่ต่อไปได้อีกเพียง 4 เดือน

    อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรอิตาลีให้การอนุมัติต่อข้อเสนอของรัฐบาลในการกู้เงิน 2.0 หมื่นล้านยูโร (2.08 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินต่อภาคธนาคารของประเทศ

      ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า เม็ดเงินส่วนใหญ่จากวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโรดังกล่าวจะถูกนำไปให้ความช่วยเหลือต่อธนาคาร BMPS ซึ่งกำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก

     หุ้นดอยช์แบงก์ ปรับตัวลง 0.4% หุ้นโซซิเอเต เจนเนอรัล ลดลง 0.3% หุ้น Banco Popolare Societa Cooperativa ปรับตัวลง 0.3% และหุ้น Mediobanca SpA ลดลง 0.7%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : แรงขายทำกำไร ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 32.66 จุด

   ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลงเมื่อคืนนี้ (21 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ปิดลบติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากตลาดขานรับรายงานที่ว่า ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดรอบเกือบ 10 ปี

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,941.96 จุด ลดลง 32.66 จุด หรือ -0.16%  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,471.43 จุด ลดลง 12.51 จุด หรือ -0.23% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,265.18 จุด ลดลง 5.58 จุด หรือ -0.25%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดปิดบวกติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนตัวเข้าใกล้แนวต้านเส้นสำคัญที่ระดับ 20,000 จุด อันเนื่องมาจากถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แสดงความเชื่อมั่นต่อตลาดแรงงานสหรัฐ และจากการที่หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง 1.5% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะปรับตัวลง

    นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กจะผันผวนในระยะนี้ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเบาบางลง จากการที่นักลงทุนเริ่มทยอยกันออกไปอยู่นอกตลาดในช่วงใกล้วันหยุดเทศกาลคริสต์มาส

      อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) ที่ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.ปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.61 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2007 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 1.0% สู่ระดับ 5.50 ล้านยูนิต

     ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวขึ้นนั้น มาจากการที่ผู้ซื้อเร่งเข้าซื้อบ้าน เนื่องจากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะพุ่งขึ้นต่อไป จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐครั้งใหญ่

     หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพร่วงลงหนักสุด โดยหุ้นเซลจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรคมะเร็ง ดิ่งลง 2.3% หุ้นเมอร์ค ร่วงลง 1.8% ขณะที่หุ้นแอนเธม ซึ่งเป็นบริษัทประกันด้านสุขภาพ ร่วงลง 1.8%

     หุ้นโคคา-โคลา ปรับตัวลง 0.2% ขณะที่หุ้นเอบี อินเบฟ ดีดตัวขึ้น 0.6% หลังจากมีรายงานว่า โคคา-โคลา เข้าซื้อหุ้น 54.5% ในบริษัทโคคา-โคลา เบเวอเรจ แอฟริกา จากบริษัทเอบี อินเบฟ ในวงเงิน 3.15 พันล้านดอลลาร์

     หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 4.7% เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวผู้บริหารหลายคนของทวิตเตอร์ได้ประกาศลาออก

     หุ้นเฟ็ดเอ็กซ์ ดิ่งลง 3.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด

    นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จีดีพีในไตรมาส 3/2559 (ตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้าย),  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์,  การใช้จ่าย-รายได้ส่วนบุคคลเดือนพ.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน และ ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.

        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!