- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 19 December 2016 14:34
- Hits: 2920
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ทรงตัวถึงอ่อนลง แม้วิตกเงินทุนไหลออก แต่มองเม็ดเงิน LTF,RMF ช่วยพยุงตลาด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะทรงตัวไปจนถึงอ่อนตัวลง เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ อันเป็นผลจากความวิตกกระแสเงินทุนจะไหลออก หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาดในปีหน้า แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ให้ติดตามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/59 ของสหรัฐประกาศครั้งที่ 3 สัปดาห์นี้ คาดว่าน่าจะยังออกมาดีขึ้น
นอกจากนี้ ภาพใหญ่ทั่วโลกไม่ได้มีประเด็นบวกใหม่เข้ามา ตอนนี้จึงต้องพึ่งปัจจัยในประเทศ โดยในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้น่าจะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาช่วยหนุน พร้อมให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
อย่างไรก็ดี มองหุ้น Soft Commodity น่าจะช่วยหนุนตลาดฯได้บ้าง อย่างพวกราคาสินค้าเกษตร, ยางพารา น่าจะขยับขึ้นตามหุ้นในกลุ่มน้ำมัน และเหล็ก ที่ได้ปรับขึ้นไปแล้ว
พร้อมให้แนวรับ 1,518-1,507 จุด ส่วนแนวต้าน 1,532 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,843.41 จุด ลดลง 8.83 จุด (-0.04%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,437.16 จุด ลดลง 19.69 จุด (-0.36%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,258.07 จุด ลดลง 3.96 จุด (-0.18%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 55.31 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 74.91 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 10.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.84 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 6.06 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ธ.ค.59) 1,522.51 จุด เพิ่มขึ้น 2.86 จุด (+0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,019.74 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ธ.ค.59) ปิดที่ 51.90 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.00 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ธ.ค.59) ที่ 6.28 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.82/83 แนวโน้มอ่อนค่า ลุ้นแตะ 36, ตลาดจับตาประชุม BOJ-กนง.สัปดาห์นี้
- นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การบริหารเศรษฐกิจปีหน้าให้ขยายตัวได้เต็มศักยภาพ จะต้องใช้ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจยังทำงานไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะภาคเอกชนยังไม่ยอมลงทุน ภาครัฐจึงต้องเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้าต่อไป
- แหล่งข่าวจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) รอบเดือน ม.ค.-เม.ย. 2560 โดยมีแนวโน้มเบื้องต้นอาจคงอัตราเดิม หรือลดอัตราค่าเอฟทีลงบ้างเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนได้เล็กน้อย เฉลี่ยไม่เกิน 5-6 สตางค์/หน่วย แม้สัญญาณค่าไฟฟ้าปีหน้าจะเป็นช่วงขาขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่อ่อนตัวก็ตาม
- เว็บไซต์เอบีซีนิวส์รายงานอ้างคำกล่าวของ นายรอส สมิธ เคิร์ก ประธานบริษัท คิงส์เกต ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ว่า บริษัทกำลังพิจารณาจะยื่นฟ้องรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากการที่รัฐบาลสั่งปิดเหมืองทองชาตรีโดยไม่มีการแจ้งเหตุผลเพียงพอ
- คลังชง ครม.วันอังคารนี้ อนุมัติมาตรการของขวัญปีใหม่เพิ่มเติม ให้แบงก์รัฐจ่ายเงินคืน-ลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้าชั้นดี วงเงินกว่า 3 พันล้าน คาดประชาชนได้ประโยชน์ 4.6 ล้านคน ด้าน ธอส.กำหนดวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้เงินคืน 1 พันบาท
- นายกสมาคม บล.เผยไตรมาส 4 การระดมทุนเข้าสู่ภาวะปกติ แม้ไม่คึกเท่าปี 58 เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจในประเทศ เชื่อบริษัทที่ต้องการเม็ดเงินไปลงทุน รอจังหวะตลาดก่อนขายหุ้น ขณะการขายของนักลงทุนต่างชาติถือเป็นการปรับพอร์ตปกติ
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานมูลค่าการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินและช่องทางต่างๆ เดือนก.ย.59 ว่าทั้งระบบมีมูลค่าการโอนชำระเงินทั้งสิ้น 35.47 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 4.73 ล้านล้านบาท หรือ 15.38% แบ่งเป็น การชาระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เพย์เมนต์) มูลค่า 30.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.76 ล้านล้านบาท หรือ 18.63% ส่วนอีก 5.17 ล้านล้านบาท เป็นการชำระผ่านการใช้เช็คลดลง 2.9 หมื่นล้านบาท หรือ 0.56%
*หุ้นเด่นวันนี้
- AP (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 8 บาท แม้ปรับยอด pre-sales ลงจากการชะลอเปิดตัวคอนโดฯ แต่การโอนคอนโดฯ 5 แห่งใน 4Q59 จะทำให้กำไรแข็งแกร่ง +108% y-y และ 208% q-q ที่ 1.4 พันล้านบาท
- KSL,STA (ฟินันเซีย ไซรัส) Soft commodity ได้รับผลบวกตามราคาน้ำมัน นับตั้งแต่ Trump ชนะเลือกตั้ง นอกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พลิกกลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแล้ว Soft commodity ก็ปรับสูงขึ้นอย่างโดดเด่น แนวโน้มโภคภัณฑ์ที่ราคาจะดีขึ้นในปีหน้าคือน้ำตาล เราชอบ KSL ที่สุด แนะนำซื้ออ่อนตัว ส่วนระยะสั้นๆ ราคายางยังเด่น แนะนำเพียงเก็งกำไร STA
- EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลงมาเป็นโอกาสซื้อ เพราะคิดเป็น 2560PE 19 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรที่เติบโตอย่างยั่งยืน 14-15% ต่อปีในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า เท่ากับ PEG 1.3 เท่า ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มี PEG เฉลี่ย 1.8 เท่า บริษัทก้าวผ่านความเป็น commodity ไปแล้ว บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีกำลังผลิตใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีประสิทธิภาพและได้ economy of scale ฉนวนยางกันความร้อน/เย็นซึ่งมีวัตถุดิบคือยางสังเคราะห์แต่ด้วยนวตกรรมทำให้ใช้วัตถุดิบน้อยแต่ได้ผลผลิตมาก นอกจากนี้ โรงงานในสหรัฐยังจะได้ประโยชน์จากนโยบาย Trump ลดภาษีจาก 35% เหลือ 15%
- PTTEP (โกลเบล็ก) เป้า 86 บาท (กำลังทบทวนประมาณการเชิงบวก) คาดกำไรปี 59 และ 60 อยู่ที่ราว 18,559 และ 24,826 ล้านบาท เติบโต 159% และ 34% ตามลำดับ หลังราคาน้ำมันดิบสร้างฐานในกรอบ 43-53 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับลดสมมติฐานต้นทุนการผลิตลงจากบริษัทปรับลดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ดีกว่าคาด เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม และปัจจัยบวก-ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแตะระดับ 52 ดอลลาร์สูงสุดในรอบ 17 เดือนหลังโอเปกมุ่งลดกำลังการผลิต และโกลด์แมน แซคส์ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI ไตรมาส 2/60 สู่ 57.50 ดอลลาร์/บาร์เรล จาก 55 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อวันศุกร์ จากสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ หลังจากมีรายงานว่าเรือรบของกองทัพจีนได้ยึดโดรนสำรวจใต้ทะเลของสหรัฐในบริเวณทะเลจีนใต้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,345.84 จุด ลดลง 55.31 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,120.70 จุด ลดลง 2.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,945.84 จุด ลดลง 74.91 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,316.06 จุด ลดลง 10.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,039.40 จุด ลดลง 2.84 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,930.01 จุด ลดลง 7.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,631.73 จุด ลดลง 6.06 จุด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลง 18.7% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.09 ล้านยูนิต ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะลดลงสู่ระดับ 1.23 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 4.7% ในเดือนพ.ย.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 12.63 จุด จากแรงซื้อหุ้นเวชภัณฑ์
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์อย่างคึกคัก หลังจากมีรายงานว่า บริษัทซาโนฟี เอสเอ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของฝรั่งเศส มีความคืบหน้าในการเจรจาซื้อกิจการบริษัทแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ ผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,011.64 จุด เพิ่มขึ้น 12.63 จุด หรือ +0.18%
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้น หลังจากมีรายงานว่า ซาโนฟี เอสเอ มีความคืบหน้าในการเจรจาซื้อกิจการแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนแอสตราเซเนกา ดีดตัวขึ้น 0.1% หุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคอล พุ่งขึ้น 2.6%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ขยับขึ้น 0.9%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลสาร์ โดยหุ้นอันโตฟากัสตา ร่วงลง 2% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวลง 0.2% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ดิ่งลง 1.9%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์พุ่งแรง หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากมีรายงานว่า บริษัทซาโนฟี เอสเอ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของฝรั่งเศส มีความคืบหน้าในการเจรจาซื้อกิจการบริษัทแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ ผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.3% ปิดที่ 360.02 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,833.27 จุด เพิ่มขึ้น 14.04 จุด หรือ +0.29% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,404.01 จุด เพิ่มขึ้น 37.61 จุด หรือ +0.33% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,011.64 จุด เพิ่มขึ้น 12.63 จุด หรือ +0.18%
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้นขานรับข่าวที่ว่า ซาโนฟี เอสเอ มีความคืบหน้าในการเจรจาซื้อกิจการแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นแอคเทเลียน ฟาร์มาซูติคัลส์ พุ่งขึ้น 10% และยังส่งผลให้หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นลอนซา กรุ๊ป ผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์ พุ่งขึ้นกว่า 4% หุ้นอินดิเวียร์ ปรับขึ้น 4.8% หุ้นยูซีบี เอสเอ ผู้ผลิตยาของเบลเยียม ดีดตัวขึ้น 2.5% และหุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคอล พุ่งขึ้น 2.6%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวผันผวน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด และยังได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า โดยหุ้นธนาคาร Monte dei Paschi (MPS) ของอิตาลีปรับตัวขึ้น 3% แต่หุ้นบังเกีย ร่วงลง 2.4% หุ้นยูบีเอส ร่วงลง 1.2% และหุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ ดิ่งลง 1.2%
ทั้งนี้ หุ้น MPS ได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ทางการอิตาลีเตรียมจัดหาเงินมูลค่า 1.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อให้ความช่วยเหลือ MPS หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปฏิเสธที่จะขยายเส้นตายในการดำเนินการเพิ่มทุนของทาง MPS เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ทางธนาคารไม่สามารถทำข้อตกลงได้ ก่อนที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 8.83 จุด วิตกข่าวจีนยึดโดรนใต้ทะเลสหรัฐ
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในทะเลจีน หลังจากมีรายงานว่า เรือรบของกองทัพจีนได้ยึดโดรนใต้ทะเลของสหรัฐในบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐร้องเรียนจีนผ่านช่องทางการทูต นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านของสหรัฐร่วงลงมากกว่าคาดในเดือนพ.ย.
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,843.41 จุด ลดลง 8.83 จุด หรือ -0.04% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,437.16 จุด ลดลง 19.69 จุด หรือ -0.36% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,258.07 จุด ลดลง 3.96 จุด หรือ -0.18%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียง 0.4% ขณะที่ดัชนี S&P500 และ NASAQ ต่างก็ปรับตัวลง 0.1%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่า เรือรบของกองทัพจีนได้ยึดโดรนใต้ทะเลของสหรัฐในบริเวณทะเลจีนใต้ ขณะที่ทางการสหรัฐได้เรียกร้องให้จีนส่งมอบโดรนดังกล่าวคืนให้กับสหรัฐ
แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่บริเวณน่านน้ำสากล ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของอ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ ออกไปประมาณ 50 ไมล์ทะเล โดยในขณะนั้น เรือ USNS Bowditch ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวนในมหาสมุทรของสหรัฐ กำลังนำยานใต้ทะเลแบบไร้คนขับ หรือ UUV (Unmanned Underwater Vehicle) ขึ้นจากท้องมหาสมุทร แต่เรือรบของจีนได้ส่งเรือลำเล็กออกไป และทำการยึด UUV ของสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ เรือ USNS Bowditch ได้ส่งสัญญาณติดต่อกับเรือรบของจีน ซึ่งจีนได้รับทราบคำขอ แต่กลับเพิกเฉยต่อคำขอ จึงส่งผลให้สหรัฐร้องเรียนจีนผ่านช่องทางการทูต
นักวิเคราะห์จากโวยา ไฟแนนเชียลกล่าวว่า ข่าวจีนยึดโดรนใต้ทะเลของสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปถือครองพันธบัตรสหรัฐซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่วา นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น และไม่บ่อยนักที่จะเห็น 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐ เผชิญหน้ากันในลักษณะนี้
หุ้นบลูชิพร่วงลงหนักสุด นำโดยหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ และหุ้นโกลด์แมน แซคส์
หุ้นออราเคิล ดิ่งลง 4.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาด
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นนอร์ดสตรอม ซึ่งส่งผลให้หุ้นนอร์ดสตรอม ร่วงลง 8.7% ขณะที่หุ้นโคล์ท ดิ่งลง 7.9% หุ้นเมซี ร่วงลง 6.7% และหุ้นแก๊ป ปรับตัวลง 6.5%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลง 18.7% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.09 ล้านยูนิต ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะลดลงสู่ระดับ 1.23 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 4.7% ในเดือนพ.ย.
อินโฟเควสท์