WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET43ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้าขยับขึ้น ตามทิศทางหุ้นตปท.,มาตรการรัฐกระตุ้นศก.-เม็ดเงิน LTF/RMF หนุน

    นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นต่อได้ ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ อย่างดัชนีดาวโจนส์และยุโรปก็ยังดี เพราะตอนนี้ทุกคนมองเศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัวในระดับที่ดี แม้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม ขณะที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันนี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม ส่วนราคาน้ำมันดิบแม้จะปรับลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แต่ภาพรวมแล้วยังค่อนข้างดี

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากในประเทศ โดยในช่วง 2 วันนี้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหลังเรื่องอิตาลีไม่ได้รบกวนตลาดแต่อย่างใด ขณะที่รัฐบาลยังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง โดยคำแนะนำช่วงนี้ให้สะสมหุ้น Domestic Play ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ และตลาดยังมีแรงเก็งกำไรหุ้นใหญ่ที่เป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะเข้ามาซื้อช่วงปลายปี โดยให้กรอบการเคลื่อนไหววันนี้ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,549.62 จุด พุ่งขึ้น 297.84 จุด (+1.55%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,393.76 จุด เพิ่มขึ้น 60.76 จุด (+1.14%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,241.35 จุด เพิ่มขึ้น 29.12 จุด (+1.32%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 177.50 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.31 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 226.46 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 45.01 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 16.42 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 6.92 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 51.07 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ธ.ค.59) 1,520.53 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด (+0.27%)

        - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 268.92 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.59

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ธ.ค.59) ปิดที่ 49.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.16 ดอลลาร์ หรือ 2.3%

        - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ธ.ค.59) ที่ 6.50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

        - เงินบาทเปิด 35.62 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์ ตลาดจับตาผลประชุม ECB-FED

        - ครม.ไฟเขียวร่างพ.ร.บ.ธปท.เพิ่มอำนาจกองทุนฟื้นฟู ให้ความช่วยเหลือแบงก์ที่ประสบปัญหา พร้อมให้อำนาจกองทุนฯเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงิน ชี้ช่วยเพิ่มเครดิตประเทศ ขณะธปท.ระบุทำให้เครื่องมือดูแลสถาบันการเงินครบถ้วน ด้านนักวิชาการหวั่น"มอรัล ฮาซาร์ด"ทำแบงก์มองข้ามความเสี่ยง

       - เครือข่ายปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (คสร.) แถลงค้าน"คลัง"ยกงบ 7 หมื่นล้านบาท ให้บริษัทประกันดูแลค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ"หมอมงคล"ยกบทเรียนประกันภัย บุคคลที่ 3 ระบุเบิกเงินผ่านบริษัทประกันภัยทำได้ยาก ส่อทำโรงพยาบาลรัฐทรุดภายใน 2 ปี ระบบประกันสุขภาพของประเทศล้ม ด้านคลังเตรียมเปิดเวทีฟังกลุ่มเห็นต่าง

     - ครม.ไฟเขียวเพิ่มงบกลางปี 1.9 แสนล้านบาท กู้เพิ่ม 1.62 แสนล้านบาท อัดฉีดโครงการกลุ่มจังหวัด 1 แสนล้านบาท เพิ่มให้กองทุนหมู่บ้านอีกหมู่บ้านละ 5 แสนล้านบาท ขีดเส้นกลุ่มจังหวัดเสนอโครงการ 28 ธ.ค.นี้ คาดเสนอสนช.ทันปลายเดือน ม.ค. และอนุมัติวงเงินสู่ระบบได้ในเดือนก.พ.ปีหน้า

       - รฟม.เผยพร้อมจ้างบีทีเอสเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว หากกทม.ไม่มีเงินรับโอนโครงการเตรียมเสนอครม.จ้างบีอีเอ็มเดินรถไฟฟ้า 1 สถานีช่วงเตาปูน-บางซื่อ คาดเปิดเดินรถจริงในส.ค.ปีหน้า จ่อเรียก"บีทีเอส"เจรจาพีพีพีโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลืองสัปดาห์หน้า คาดได้ข้อสรุปใน 1 เดือน

       - "สมคิด"นำคณะโรดโชว์จีน จ่อถก"แจ็กหม่า"ประสานดัน 100 แบรนด์ไทยขึ้นซื้อขายบนเว็บไซต์อาลีบาบา ฟรีค่าธรรมเนียม 1 ปี พร้อมลงนามความร่วมมือ 4 ด้าน ปั้นเอสเอ็มอีไทย 3 หมื่นรายทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ อบรมบุคลากรด้านดิจิทัล ช่วยพัฒนาระบบลอจิสติกส์ให้แก่ไปรษณีย์ไทย และช่วยดันไทยเป็นฮับข้อมูลดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

      - รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมนำแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน (แอ็กชั่นแพลน) ปี 2560 ระยะที่ 2 จำนวน 36 โครงการ มูลค่าการลงทุน 8.97 แสนล้านบาท เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาผ่านความเห็นชอบในสัปดาห์หน้า เพื่อเร่งเปิดประมูลพร้อมก่อสร้างให้ทันตาม กรอบเวลาที่กำหนดไว้

*หุ้นเด่นวันนี้

                - LIT (ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 14 บาท ได้รับอานิสงส์สูงสุดจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐต่างๆ เพราะฐานลูกค้า 70-80% เป็น SMEs ที่รับงานต่อมาจากภาครัฐอีกที กำไรที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ใน 3Q59 น่าจะดีต่อเนื่องใน 4Q59จากความต้องการสินเชื่อ Project Finance และ Factoring ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การตั้งสำรองน่าจะเป็นปกติ เพราะการตั้งสำรองปัจจุบันที่ 2.64% ของสินเชื่อ สูงกว่าเป้าที่ 2.5% ไปแล้ว โดยยังคงคาดกำไรสุทธิปีนี้ +43.4% Y-Y และปีหน้า +24% Y-Y

        - THANI (ไอร่า)"ซื้อ" เป้า 5.90 บาท คาดสินเชื่อปี 60 มีโอกาสเติบโต 16.87% ภายใต้ Port สินเชื่อ THANI ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุก สัดส่วนสูงถึง 73% ที่คาดได้รับประโยชน์ภายใต้โครงการลงทุน Mega Project ของภาครัฐ และสถานการณ์สินค้าเกษตรที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดจะเป็นตัวกระตุ้นความต้องการรถบรรทุกในปีหน้า จากสัดส่วนการขนส่งสินค้าเกษตรกับการก่อสร้าง ที่มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 70% ของการขนส่งทางถนนรวมทั้งประเทศ คาดต้นทุนทางการเงินลดลงต่อเนื่อง หลัง TRIS ปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ THANI จาก BBB+ เป็น A- คาดช่วยให้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปี 60 มูลค่ารวม 5,760 ล้าน หรือคิดเป็น 22% ของเงินกู้ทั้งหมด มีดอกเบี้ยลดลงจาก 4.7-4.8% เหลือ 2.5-2.8% ทำให้คาด Cost of Fund ลดลงจากประมาณ 3.68% ในปี 59 เหลือเฉลี่ยประมาณ 3.50% ในปี 60 คาด NPL มีแนวโน้มลดลงในปี 60 หลัง NPL ของ TNANI ใน 3Q/59 เพิ่มจาก 4.32% เมื่อ 2Q/59 เป็น 4.49% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสินเชื่อรถบรรทุกมือสองที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า แต่คาดตลาดรถบรรทุกมือสอง ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดมีแนวโน้มดีขึ้น

        - หุ้นกลุ่มสายการบิน THAI,BA (เคจีไอฯ)"เก็งกำไร" ราคาน้ำมัน WTI วานนี้ลดลง 2.3% (เป็นการพักฐานตามคาด เนื่องจากประเมิน Upside ราคาน้ำมันจำกัดที่บริเวณ 50–55 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล) และความคาดหวังต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มสายการบินที่สหรัฐฯวานนี้ปรับขึ้นเฉลี่ย 4.15% ประเมินหุ้นกลุ่มสายการบินในไทยจะปรับตัวขึ้นด้วย Sentiment เดียวกัน (กลุ่มสายการบินโดยปกติเล่นเป็น Global theme) ขณะที่สายการบินในไทยมีประเด็นเรื่องมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และการลดค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหนุน

ตลาดหุ้นเอเชียทะยานขึ้นเช้านี้ รับคาดการณ์ ECB ขยายมาตรการ QE

         ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายเวลาการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันนี้ เพื่อสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี

         ดัชนี MSCI Asia Pacific ทะยาน 0.8% เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ตามเวลาโตเกียว

        ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,674.19 จุด เพิ่มขึ้น 177.50 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,225.55 จุด เพิ่มขึ้น 3.31 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,027.38 จุด เพิ่มขึ้น 226.46 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,308.90 จุด เพิ่มขึ้น 45.01 จุด

      ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,008.31 จุด เพิ่มขึ้น 16.42 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,965.33 จุด เพิ่มขึ้น 5.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,639.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.92 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,917.88 จุด เพิ่มขึ้น 51.07 จุด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นเหมือง หนุนฟุตซี่ปิดพุ่ง 122.39 จุด

       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากเงินปอนด์อ่อนค่าลง

       ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 122.39 จุด หรือ 1.81% แตะที่ 6,902.23 จุด ทำสถิติปรับตัวขึ้นสูงสุดในการซื้อรายระหว่างวันนับตั้งแต่เดือนก.ย.ที่ผ่านมา

        ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นหลังจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น ภายหลังจากเงินปอนด์ร่วงหลุดระดับ 1.26 ดอลลาร์ต่อปอนด์ โดยหุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 6.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทเครดิตสวิสปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท

       หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.9% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายว่า บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่รายหนึ่งกำลังพัฒนาบ่อน้ำมันในอิหร่าน

       หุ้นแคริลเรียนลดลง 3.9% หลังจากกลุ่มบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของอังกฤษรายงานว่า บริษัทได้รับยอดคำสั่งซื้อลดลงในช่วง 6 เดือนหลังของปี อันเนื่องมาจากผลพวงของ Brexit

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : กระแสคาด ECB ขยาย QE หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่ง

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายเวลาการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันนี้ เพื่อยับยั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารยังช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นด้วย

     ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 347.70 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.

       ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,986.69 จุด พุ่งขึ้น 211.37 จุด หรือ +1.96% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,694.72 จุด เพิ่มขึ้น 62.78 จุด หรือ +1.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,902.23 จุด เพิ่มขึ้น 122.39 จุด หรือ +1.81%

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ หลังจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 6 เดือน ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ โดยจะให้มาตรการดังกล่าวสิ้นสุดในเดือนก.ย.2017 จากเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.2017 ขณะที่ ECB จะยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน

   ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า การขยายเวลามาตรการ QE ในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวอิตาลีส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคารของอิตาลี รวมทั้งจะบั่นทอนเสถียรภาพทางการเงินของยุโรปในที่สุด

      นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังคาดว่า ECB อาจจะทำการผ่อนคลายข้อกำหนดในการซื้อพันธบัตร โดยจะอนุญาตให้สามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมทั้งสามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

     หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นเครดิต สวิส พุ่งขึ้น 7.4% หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง พุ่งขึ้น 3.9% หุ้นเครดิต อากริโคล ดีดตัวขึน้ 0.9%

    ส่วนหุ้นธนาคารของอิตาลีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น Monte dei Paschi di Siena (BMPS) พุ่งขึ้นกว่า 10% หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลอิตาลีเตรียมหาลู่ทางที่จะให้ความช่วยเหลือธนาคารแห่งนี้ ขณะที่หุ้นยูนิเครดิต พุ่งขึ้น 9.4%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 297.84 จุด รับคาดการณ์ ECB ขยายมาตรการ QE

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายเวลาการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันนี้ เพื่อสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,549.62 จุด พุ่งขึ้น 297.84 จุด หรือ +1.55% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,393.76 จุด เพิ่มขึ้น 60.76 จุด หรือ +1.14% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,241.35 จุด เพิ่มขึ้น 29.12 จุด หรือ +1.32%

    ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนขานรับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า ECB จะขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 6 เดือน ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ โดยจะให้มาตรการดังกล่าวสิ้นสุดในเดือนก.ย.2017 จากเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.2017 ขณะที่ ECB จะยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน

     นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังคาดว่า ECB อาจจะทำการผ่อนคลายข้อกำหนดในการซื้อพันธบัตร โดยจะอนุญาตให้สามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมทั้งสามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

    นักวิเคราะห์เชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้ ECB จะขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรนั้น ก็เพื่อจะสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวอิตาลีส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคารของอิตาลี รวมทั้งจะบั่นทอนเสถียรภาพทางการเงินของยุโรปในที่สุด

    หุ้นกลุ่มขนส่งทะยานขึ้นแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการขนส่งจะได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สอง ขานรับมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยหุ้นเอทีแอนด์ที พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเวสเทิร์น ดิจิตอล พุ่งขึ้น 5% และหุ้นไอบีเอ็ม ทะยานขึ้น 2.8%

     อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้นไฟเซอร์ และหุ้นเมอร์ก แอนด์ โค หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า เขาจะทำให้ราคายาถูกลง และก่อนหน้านี้นายทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า เขาจะเปิดกว้างต่อการนำเข้ายาราคาถูกจากต่างประเทศ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากอุตสาหกรรมยา และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหรัฐ

       นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนต.ค.

      นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี

   อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!