- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 02 December 2016 10:49
- Hits: 4143
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นมองราคาน้ำมันดีดตัวต่อหนุนหุ้นพลังงาน,จับตาประชามติอิตาลี
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ แม้ว่าบรรยากาศตลาดหุ้นต่างประเทศจะมีติดลบบ้าง โดยบ้านเราได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเฉพาะหุ้น บมจ.ปตท. (PTT) และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จะยังเป็นตัวนำตลาดต่อ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยวันนี้อาจจะไม่ปรับขึ้นแรงเหมือนเมื่อวาน และระหว่างเทรดดัชนีอาจได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มอื่นที่อาจจะติดลบได้บ้าง แต่ยังได้รับจิตวิทยาที่ดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อทั้งในตลาดอนุพันธ์และตลาดหุ้น
แต่ทั้งนี้การที่ตลาดหุ้นไทยจะปิดยาว 3 วันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ รวมถึงตลาดยังรอดูการลงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลีในวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค.นี้ ก็อาจทำให้ดัชนีปรับขึ้นได้ไม่มากนัก
พร้อมให้แนวต้านระดับ 1,519 และ 1,526 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,500 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 ธ.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,191.93 จุด เพิ่มขึ้น 68.35 จุด (+0.36%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.11 จุด ลดลง 72.57 จุด (-1.36%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,191.08 จุด ลดลง 7.73 จุด (-0.35%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 77.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.19 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 141.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 48.97 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.61 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 1.76 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.07 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 15.80 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 ธ.ค.59) 1,512.38 จุด เพิ่มขึ้น 2.14 จุด (+0.14%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 834.39 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 ธ.ค.59) ปิดที่ 51.06 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.62 ดอลลาร์ หรือ 3.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 ธ.ค.59) ที่ 6.10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.65/66 กลับมาแข็งค่าหลังดอลล์อ่อน ตลาดผิดหวังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
*หุ้นเด่นวันนี้
- PTTEP (กสิกรไทย) ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก"ถือ"เป็น"ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 97 บาท จากการลดการผลิตของกลุ่มโอเปกเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ส่งผลให้ปรับเพิ่มสมมุติฐานราคาน้ำมันปี 60-61 ขึ้น 7-10% เป็น 53 เหรียญฯ/บาร์เรล และ 65 เหรียญฯ/บาร์เรล ตามลำดับ มีผลให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 41% ต่อปีในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้คุณภาพของกำไรสุทธิคาดว่าจะดีขึ้นจากความผันผวนที่ลดลงจากการที่กรมสรรพากรจะอนุญาตให้ใช้สกุลเงินดอลลาร์ยื่นภาษี ลดผลรายได้/ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชี และราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้โอกาสการเข้าซื้อกิจการมีมากขึ้นเนื่องจากส่วนต่างความคาดหวังของผู้ขายและผู้ซื่อน่าจะปรับตัวแคบลง
- SENA (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 5 บาท ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ขึ้นจากเดิม 16% เป็น 775 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตถึง 197% YoY เนื่องจากกำไรสุทธิงวด 9M59 ทำได้สูงกว่าที่คาดทั้งปี คาดกำไรสุทธิ 4Q59 จะทำได้ดีทรงตัว QoQ แต่จะโต YoY ได้อย่างต่อเนื่อง จากยอด Backlog โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะโอนใน 4Q59 ที่ยังมีค่อนข้างสูงราว 700 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 300 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 400 ล้านบาท คาดว่ารายได้จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนั้น 4Q59 ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโซลาร์ฟาร์ม เทียบกับปีก่อนที่ยังไม่เริ่ม COD ทั้งนี้ ในแง่รายได้รวมทั้งปี 59 ก็คาดว่าจะอยู่ที่ 3,949 ล้านบาท เติบโตถึง 81% YoY
- PLANB (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท แม้ได้รับผลกระทบจากช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัย 1 เดือนเช่นเดียวกับสื่อโฆษณาประเภทอื่น ซึ่งจะทำให้กำไรใน 4Q59 สะดุดชั่วคราวก่อนจะฟื้นกลับเป็นปกติในปีหน้า แต่ก็คาดกำไรสุทธิปี 60 จะปรับขึ้น 46% Y-Y จากจุดแข็งของบริษัทที่มีสื่อป้ายโฆษณาแทบทุกพื้นที่ทั่วประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งป้ายโฆษณาดิจิตอลบนถนนและในสนามบิน และเสริมด้วยรายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลและบริษัทพรีเมียร์ลีก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนนี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,435.55 จุด ลดลง 77.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,270.12 จุด ลดลง 3.19 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,736.84 จุด ลดลง 141.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,214.56 จุด ลดลง 48.97 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,980.14 จุด ลดลง 3.61 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,930.34 จุด เพิ่มขึ้น 1.76 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,627.51 จุด เพิ่มขึ้น 1.07 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,880.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.80 จุด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 30.86 จุด หลัง PMI การผลิตอังกฤษชะลอตัว
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) หลังจากมีรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของอังกฤษ ปรับตัวลดลงในเดือนพ.ย. ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,752.93 จุด ลดลง 30.86 จุด หรือ -0.45%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษ ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับสถาบันการจัดซื้อและซัพพลายแห่งประเทศอังกฤษ (CIPS) นั้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.4 ในเดือนพ.ย. จาก 54.2 ในเดือนต.ค. ซึ่งผิดไปจากที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 54.5
รายงานระบุว่า บรรดาโรงงานต่างๆ ต้องรับมือกับต้นทุนที่ทะยานขึ้น อันเนื่องมาจากเงินปอนด์ร่วงลงอย่างมาก หลังอังกฤษลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ขณะที่การอ่อนค่าของเงินปอนด์ไม่สามารถช่วยกระตุ้นยอดส่งออกได้มากเหมือนกับในเดือนก่อนๆ
หุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคปรับตัวลง โดยหุ้นยูนิลีเวอร์ ดิ่งลง 3.1% หุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ร่วงลง 1.8% และหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ปรับตัวลง 1.9%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 2.8% ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับขึ้น 1.9% และหุ้นริโอ ทินโต พุ่งขึ้น 1.3%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนรู้ผลประชามติอิตาลี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการลงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลีในวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค.นี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.3% ปิดที่ 340.86 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,560.61 จุด ลดลง 17.73 จุด หรือ -0.39% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,534.05 จุด ร่วงลง 106.25 จุด หรือ -1.00% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,752.93 จุด ลดลง 30.86 จุด, -0.45%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา ก่อนที่อิตาลีจะจัดการลงประชามติเพื่อให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ว่าจะเห็นชอบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะที่นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศเดิมพันอนาคตทางการเมืองของเขา โดยยืนยันว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่ง หากประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
ผลการสำรวจของสำนักโพลล์หลายสำนักออกมาในทิศทางเดียกวันว่า ชาวอิตาลีจะออกมาลงประชามติไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลให้นายเรนซีต้องลาออกจากตำแหน่งตามที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ และจะทำให้เกิดการพลิกขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคฝ่ายค้านที่สนับสนุนการแยกตัวออกจากยูโรโซน
ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การลงประชามติต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอิตาลีในครั้งนี้ จะเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินทั่วโลก ไม่น้อยไปกว่ากรณีที่อังกฤษลงมติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
หุ้นอิมพีเรียล แบรนส์ พีแอลซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตบุหรี่รายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 2.6% หุ้นเนสท์เล่ เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารจากสวิตเซอร์แลนด์ ร่วงลง 1.6% และหุ้นดาโดเน ปรับตัวลง 1.5%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยหุ้นทุลโลว์ออยล์ พุ่งขึ้น 5.9% หุ้น Eni SpA ทะยานขึ้น 3.6% และหุ้นบีพี ปรับตัวขึ้น 2.3%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : แรงซื้อหุ้นพลังงาน หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 68.35 จุด
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นขานรับมติของที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการปรับลดกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และดัชนี S&P500 ปิดลบ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,191.93 จุด เพิ่มขึ้น 68.35 จุด หรือ +0.36% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.11 จุด ลดลง 72.57 จุด หรือ -1.36% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,191.08 จุด ลดลง 7.73 จุด หรือ -0.35%
ดัชนี ดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ยังคงได้รับแรงซื้ออย่างคึกคัก โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.6% และหุ้นฟิลิปส์ ออยล์ ปรับตัวขึ้น 2.3%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ ขานรับกลุ่มโอเปกบรรลุข้อตกลงปรับลดการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 3.3 และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 2% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายสตีเวน นูชิน อดีตผู้บริหารธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 0.5% และดัชนีภาคการผลิตที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้นจากระดับของ 51.9 ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ดิ่งลง 2.8% หุ้นอะนาล็อก ดีไวซ์ ร่วงลง 7% และหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวลง 1.8%
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนพ.ย.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
อินโฟเควสท์