WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET17ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมตัวลง เหตุกังวลเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย-เงินทุนยังไหลออกต่อเนื่อง

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลง เนื่องจากมีความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ และ US Dollar Index ก็ได้ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ส่วนหนึ่งอาจมาจากนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่เงินทุนยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบคละกัน โดย Emerging Market จะติดลบ ส่วนตลาดในกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง ตลาดหุ้นสิงคโปร์ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังยืนในแดนบวกได้

     พร้อมให้แนวรับ 1,468-1,470 ถัดไป 1,463-1,464 จุด ส่วนแนวต้าน 1,480-1,485 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,903.82 จุด เพิ่มขึ้น 35.68 จุด (+0.19%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,333.97 จุด เพิ่มขึ้น 39.39 จุด (+0.74%),  ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,187.12 จุด เพิ่มขึ้น 10.18 จุด (+0.47%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 161.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 1.26 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 23.65 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 3.76 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.97 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 2.61 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 พ.ย.59) 1,473.85 จุด ลดลง 0.79 จุด (-0.05%)

     - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,443.42 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 พ.ย.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 พ.ย.59) ปิดที่ 45.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 15 เซนต์ หรือ 0.3%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 พ.ย.59) ที่ 7.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.53/55 อ่อนค่าหลังประธานเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย

     - เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเห็นชอบแผนขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้ง 173 โครงการ 12 แผนงาน มูลค่า 7 แสนล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี (2560-2564) แบ่งเป็นงบลงทุนของรัฐบาล 1.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนภาคเอกชน

      - แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้เร่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพสามิต กำหนดมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรืออีวี (EV) รวมไปถึงการส่งการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนแบบผสมน้ำมันและไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฮบริดด้วย

     - 'พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา'กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยจากทิศทางการลงทุนของไทยที่เปลี่ยนไป โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามูลค่าส่งออกของไทยหดตัวเฉลี่ย 2% ต่อปี สวนทางกับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย (Thai Direct Investment Outflow: TDI Outflow) ที่ขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแซงหน้ามูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Inflow: FDI Inflow) แสดงให้เห็นว่า การขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่กำลังเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และอาจช่วยให้ไทยก้าวข้ามการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอนาคตได้

       - กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จ่ายหนี้ให้รัฐเกือบ 2,800 ล้านบาท เฉพาะดอกเบี้ย 2,300 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นแหล่งเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเป็นหลัก ทำให้ยอดหนี้เงินต้นเหลือ 9.49 แสนล้านบาทและยอดสะสมจ่ายหนี้ทั้งสิ้น 3.67 แสนล้านบาท

      - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ผลสำรวจดัชนีภาวะอสังหาริมทรัพย์ในภาคใต้ ที่สำรวจความเห็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในภาคใต้ พบว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีความเชื่อมั่นลดลง โดยดัชนีอยู่ที่ระดับ 40.5 ลดลงจาก 42.0 ในไตรมาสก่อนหน้า จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ความสามารถในการผ่อน ชำระหนี้ของลูกค้าลดลง ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อที่ให้โครงการและผู้ซื้อ ทำให้ผู้ประกอบการไม่มีความเชื่อมั่นในการลงทุน

        - ผู้โดยสารผ่านสนามบินสุวรรณภูมิเดือนพ.ย.ติดลบ เหตุนักท่องเที่ยวจีนหายไปกว่าครึ่งหลังรัฐจริงจังปราบทัวร์ศูนย์เหรียญคนไม่มีอารมณ์เดินทาง ลุ้นนักท่องเที่ยวรัสเซียทดแทน ตั้งเป้า ผู้โดยสารปีหน้าทะลุ 60 ล้านคน

*หุ้นเด่นวันนี้

       - VNG (ไอร่า) เป้า 18 บาท คาดในปี 60 ผลการดำเนินงานมีโอกาสทำ New High ภายใต้การรับรู้กำลังการผลิตเต็มที่ ทั้ง MDF และ Laminate Flooring เพิ่มขึ้น 24% และ 19% ตามลำดับ คาดรายได้ขาย 12,583 ล้านบาท +14% คาด Gross Profit Margin เฉลี่ยประมาณ 30% และคาดกำไรสุทธิ ประมาณ 1,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% หรือ 1.20 บาท/หุ้น

      - EPG (โกลเบล็ก) เป้า Consensus เฉลี่ย 17.17 บาท โดย Consensus คาดกำไรปี 2560 ที่ 1,400 - 1,600 ล้านบาท โดยบริษัทยืนยันเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 15-20% เป็น 1 หมื่นลบ. (1H60 ทำได้แล้ว 4.7 พันลบ.) เนื่องจากในครึ่งปีหลัง EPP เตรียมจะรุกเข้าสูตลาดบรรจุภัณฑ์แบบ Mass product (เดิมเป็น High Product) ซึ่งบริษัทตั้งเป้า Mkt  share 20% หรือราว 1,000 ลบ. เนื่องจากบริษัทใช้เครื่องจักรแบบ High Speed ซึ่งทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ  อีกทั้ง AFC จะมีงาน Project ใหญ่หลายงานทั้งในจีน เวียดนามและญี่ปุ่น โดยบริษัทยังคงตั้งเป้า Gross Margin ระดับ 28-32%  Net Margin ไว้ที่ราว 15% เช่นเดิม และจุดเด่นของบริษัท D/E ต่ำเพียง 0.3 เท่า  ROE สูงราว 16% และเป็นบริษัท Innovation ที่มีนวัตกรรมของตัวเอง

      - PTTGC (ยูโอบี เคย์เฮียน) ผลประกอบการรายไตรมาสยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดไตรมาส 2/59 ขณะที่ earnings momentum ระยะกลางโดดเด่น โดยคาดกำไรปี 2560 เติบโตถึง 29.5%

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน:ฟุตซี่ปิดบวก 44.99 จุด รับยอดค้าปลีกอังกฤษสดใส

         ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 พ.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากการแรงซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

       ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 44.99 จุด หรือ 0.67% แตะที่ 6,794.71 จุด

     หุ้นกลุ่มค้าปลีกหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นตัวเลขการขยายตัวที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2545

      หุ้นเนกซ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าและของตกแต่งบ้านรายใหญ่ของอังกฤษเพิ่มขึ้น 2.2% ในขณะที่หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้น 2.1% และหุ้นเจ เซนส์เบอรี ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่เพิ่มขึ้น 0.9%

    หุ้นรอยัล เมล ผู้ประกอบการไปรษณีย์ของอังกฤษร่วงลง 7% หลังจากระบุว่าบริษัทมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีที่ปรับตัวลดลง

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก หลัง ECB ส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 พ.ย.) หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค.ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า ECB มีความพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หากจำเป็น

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.6% ปิดที่ 340.60 จุด

       ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,685.54 จุด เพิ่มขึ้น 21.67 จุด หรือ +0.20% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,527.77 จุด เพิ่มขึ้น 26.63 จุด หรือ +0.59% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,794.71 จุด เพิ่มขึ้น 44.99 จุด หรือ +0.67%

       ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจาก ECB เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ECB พร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยอาจใช้วงเงินสูงถึง 1.7 ล้านล้านยูโร หากคณะกรรมการ ECB พิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนให้ฟื้นตัวขึ้น

      ทั้งนี้ เศรษฐกิจยูโรโซนมีการขยายตัวเพียง 0.3% ในไตรมาส 3 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีเป็นปัจจัยถ่วงการขยายตัวของยูโรโซนในไตรมาส 3 โดยเศรษฐกิจเยอรมนีมีการเติบโตเพียง 0.2% ในไตรมาส 3 และเศรษฐกิจฝรั่งเศสขยายตัวเพียง 0.2%

     หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะสามารถดำเนินการตามข้อตกลงปรับลดการผลิตน้ำมัน โดยหุ้นปิโตรแฟค พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นซับซี ขยับขึ้น 0.6% หุ้นกัลป์ เอนเนเจีย พุ่งขึ้น 4%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 35.68 จุด หุ้นแบงก์พุ่งหลังเยลเลนส่งสัญญาณขึ้นดบ.

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 พ.ย.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขการสร้างบ้านที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,903.82 จุด เพิ่มขึ้น 35.68 จุด หรือ +0.19% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,333.97 จุด เพิ่มขึ้น 39.39 จุด หรือ +0.74% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,187.12 จุด เพิ่มขึ้น 10.18 จุด หรือ +0.47%

     ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร นำโดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวขึ้น 1.7% และหุ้นพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล พุ่งขึ้น 2.9% หลังจากที่นางเยลเลนกล่าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า และจะมีความเสี่ยง หากเฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป เนื่องจากจะทำให้เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต

     นางเยลเลนยังกล่าวด้วยว่า ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย.นั้น กรรมการเฟดมีความเห็นว่า เหตุผลที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีความคืบหน้าไปสู่เป้าหมายตามภารกิจของเฟดในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการจ้างงานในระดับสูงสุด

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 ปีในเดือนต.ค. โดยดีดตัวขึ้น 25.5% สู่ระดับ 1.32 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2007

       ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 19,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 235,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.1973

      หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวผันผวน โดยหุ้นวอล-มาร์ท ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่หุ้นโฮมดีโปท์ ดีดตัวขึ้นกว่า 2% ส่วนหุ้นเบสท์บาย พุ่งขึ้นเกือบ 14% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

    นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนต.ค.จาก Conference Board และดัชนีกิจกรรมการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ย.จากเฟดแคนซัส ซิตี้

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!