- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 10 November 2016 16:13
- Hits: 2558
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้นตามภูมิภาค แต่มีโอกาสอ่อนลงเหตุหวั่นงบฯ Q3/59 ของบจ.อาจไม่ค่อยดี
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ แต่มีความเสี่ยงเมื่อดัชนีฯปรับตัวขึ้นแล้วอาจจะค่อย ๆ อ่อนตัวลง เนื่องจากตลาดฯได้ตอบรับผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็ยังอยู่ในแดนบวกกัน อย่างไรก็ดีให้ติดตามนโยบายต่อไปของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ส่วนตลาดหุ้นไทยก็ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/59 ที่จะออกมาในวันนี้และพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีประกาศออกมาหลายบริษัทและอาจจะทำให้ตลาดฯอ่อนตัวลงได้ เพราะงบฯที่ออกมาอาจจะไม่ค่อยดีนัก
พร้อมให้แนวรับ 1,500 จุด ส่วนแนวต้าน 1,515 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,589.69 จุด พุ่งขึ้น 256.95 จุด (+1.40%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.07 จุด เพิ่มขึ้น 57.58 จุด (+1.11%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,163.26 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด (+1.11%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 311.32 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 20.17 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 433.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 127.44 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 31.47 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 32.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.75 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 พ.ย.59) 1,509.43 จุด ลดลง 0.41 จุด (-0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,617.41 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 พ.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 พ.ย.59) ปิดที่ 45.27 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 29 เซนต์ หรือ 0.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 พ.ย.59) ที่ 7.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.10 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง รับข่าว"ทรัมป์"ชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ
- ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อ วันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมานี้ ได้สร้างความตื่นตระหนกกับนักลงทุนทั่วโลกหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน พลิกมาคว้าชัยชนะเหนือนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดสำคัญทั่วโลก และหันไปซื้อทองคำ โดยราคาทองคำตลาดสปอตของเอเชียพุ่งขึ้น 4.9% ปิดตลาดที่ 1,301.90 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ขอให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งสรุปผลการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ก่อนกลางเดือน ธ.ค.นี้ จากเดิมจะรู้ผลผู้ชนะประมูลเดือน ม.ค. 2560
- รมว.พาณิชย์ เผยการส่งออกไทยจะมีความเสี่ยงมากขึ้น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ถ้าไม่นับอาเซียน 10 ประเทศรวมกัน โดยในปี 2558 ไทยมีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐ 2.40 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 11.2% ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด มีสินค้าสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี และเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งอาหารทะเลและผลไม้กระป๋องแปรรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันถึง 51.4% ของการส่งออกไทยไปสหรัฐทั้งหมด
- กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% มองความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศจับตาพัฒนาการเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะส่งออก-ปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญที่มีผลกระทบมากขึ้น แนะเอกชนปรับตัวรับความผันผวนด้านตลาดเงิน
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยผลการจัดเก็บรายได้ในเดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (เดือน ต.ค. 2559) จัดเก็บได้ 1.98 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 5.9% และสูงกว่าเป้าหมาย 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมีผลดำเนินงานดีทำให้นำส่งรายได้สูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท หรือสูงกว่าประมาณการ 6,300 ล้านบาท และหน่วยงานอื่นจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นด้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- BCP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 38 บาท กำไรไตรมาส 3/59 ดีกว่าฟินันเซียฯและตลาด โดยปรับลดลง51% Q-Q และเพิ่มขึ้น 178% Y-Y แนวโน้ม Q4/59 จะดีขึ้นจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตามฤดูกาล ราคาหุ้น BCP laggard กว่ากลุ่มพลังงานมาก ทำให้มี 2560PE ต่ำเพียง 8.6 เท่า ในกลุ่มโรงกลั่นได้แนะนำ BCP และ IRPC ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจและ valuation ถูก
- PTTGC (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 67 บาท คาดผลประกอบการหลัก Q4/59 ฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนอุปสงค์ฟื้นตัวในช่วงฤดูหนาว โดยค่าการกลั่นผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้น 4-6 เหรียญฯต่อบาร์เรล QTD ขณะที่กำลังการผลิตทุกหน่วยธุรกิจกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง, สัดส่วน PER และ PBV ปี 60 อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 9.15 เท่า และ 1.02 เท่า ตามลำดับ สำหรับผลประกอบการ Q3/59 มีกำไรสุทธิ 6,226 ล้านบาท +26%QoQ +416%YoY โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังหลังหยุดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 63 วันในไตรมาสก่อนหน้า, อัตรากำไรอะโรเมติกส์และเม็ดพลาสติกฟื้นตัว, อัตรากำลังการผลิตกลุ่มโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น, กำไรสต๊อกน้ำมันดิบ 560 ล้านบาท, บันทึกเงินชดเชยจากประกัน 1,155 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรปกติไตรมาสนี้อยู่ที่ 4,239 ล้านบาท (2Q59 อยู่ที่ 2,793 ล้านบาท)
- ERW (ยูโอบี เคย์เฮียน) "ซื้อ"เป้า 6.25 บาท กำไรปกติในไตรมาส 3/59 ออกมาน่าประทับใจอยู่ที่ 56 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุน 40 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยบวกมาจาก Occupancy rate ปรับตัวเพิ่มเป็น 81% (+1000bp yoy) และ EBITDA margin ปรับตัวเพิ่ม 540bp yoy เป็น 27.4% ถึงแม้ว่าได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ลง 5% เพื่อสะท้อนผลกระทบจากช่วงไว้ทุกข์ แต่ผลประกอบการในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มสดใสจากการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่องและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
- BANPU (โกลเบล็ก) เป้า 21.75 บาท คาดกำไร Q3/59 ราว 300 ล้านบาท (+15%QoQ และ + 549%YoY) จากราคาถ่านหินในไตรมาส 3 ปรับตัวขึ้น 39% คาดธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการทรงตัวทั้งโรงไฟฟ้า BLCP และโรงไฟฟ้าหงสา โดยโรงไฟฟ้าหงสายังใช้อัตรากำลังการผลิตที่ 60-70% เนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเฟส 1 ยังมีการซ่อมแซม และมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการใน Q4/59 ต่อเนื่องถึงปี 60 เนื่องจากบริษัทกำลังจะตกลงราคาขายถ่านหินในปีหน้าซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 40-50% จากปี 59 ขณะที่คาดว่าต้นทุนการผลิตจะปรับตัวขึ้นเพียง 15-20% จากการขุดถ่านหินในพื้นที่ลึกขึ้นทำให้อัตราส่วนดินต่อแร่
ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งขึ้นเช้านี้ นักลงทุนเชื่อ ทรัมป์ ช่วยหนุนเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่านโยบายของทรัมป์จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและช่วยหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนี MSCI Asia Pacific พุ่ง 2.3% สู่ระดับ 136.49 จุด เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,562.86 จุด เพิ่มขึ้น 311.32 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,148.54 จุด เพิ่มขึ้น 20.17 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,848.74 จุด เพิ่มขึ้น 433.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,070.64 จุด เพิ่มขึ้น 127.44 จุด
ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,989.85 จุด เพิ่มขึ้น 31.47 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,822.87 จุด เพิ่มขึ้น 32.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,652.37 จุด เพิ่มขึ้น 4.75 จุด
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดพุ่ง 68.71 จุด หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐ
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 68.71 จุด หรือ 1.00% แตะที่ 6,911.84 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนซื้อขายอย่างผันผวนก่อนที่จะปิดปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ภายใต้การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ต่างก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ชัยชนะของทรัมป์จะช่วยหนุนอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทยารายใหญ่ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการปฏิรูปการกำหนดราคายาของนางฮิลลารี คลินตัน โดยหุ้นไชร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.3% ในขณะที่หุ้นแอสตราเซเนกาเพิ่มขึ้น 2.8% และหุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์เพิ่มขึ้น 2.7%
หุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าหรูหราของอังกฤษร่วงลง 2% หลังจากเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรลดลง 40% ในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีต้นทุนสูงขึ้น
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับทรัมป์คว้าชัยเลือกตั้งปธน.สหรัฐ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดว่า นโยบายของทรัมป์จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและช่วยหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,646.01 จุด พุ่งขึ้น 163.69 จุด หรือ +1.56% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,543.48 จุด เพิ่มขึ้น 66.59 จุด หรือ +1.49% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,911.84 จุด เพิ่มขึ้น 68.71 จุด หรือ +1.00%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.9% ปิดที่ 331.89 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดหวังว่า นโยบายของทรัมป์จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจและหนุนภาวะเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทรัมป์ยืนยันว่าจะยกเลิกการใช้กฎหมายประกันสุขภาพ หรือ Affordable Care Act , การผ่อนคลายกฎข้อบังคับของภาคธนาคาร, การลดภาษี และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้น 4.6% เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ชัยชนะของทรัมป์จะช่วยหนุนอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทยารายใหญ่ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการปฏิรูปการกำหนดราคายาของนางฮิลลารี คลินตัน
ทั้งนี้ หุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคัล พุ่งขึ้น 6.6% หุ้นไชร์ ดีดตัวขึ้น 6.2% หุ้นโนโว นอร์ดิค พุ่งขึ้น 5.2% และหุ้นบีบี ไบโอเธค ทะยานขึ้น 7.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟรสนิลโล พุ่งขึ้น 8.8% หุ้นแรนโกลด์ รีซอส ปรับขึ้น 7.6% และหุ้นเซนทามิน พุ่งขึ้น 8.5%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 256.95 จุด ตลาดมั่นใจนโยบายทรัมป์หนุนศก.
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างคึกคัก ด้วยความหวังที่ว่า นโยบายของทรัมป์จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและช่วยหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,589.69 จุด พุ่งขึ้น 256.95 จุด หรือ +1.40% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.07 จุด เพิ่มขึ้น 57.58 จุด หรือ +1.11% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2163.26 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด หรือ +1.11%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดหวังว่า นโยบายของทรัมป์จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจและหนุนภาวะเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทรัมป์ยืนยันว่าจะยกเลิกการใช้กฎหมายประกันสุขภาพ หรือ Affordable Care Act , การผ่อนคลายกฎข้อบังคับของภาคธนาคาร, การลดภาษี และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การที่พรรครีพับลิกันสามารถครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาวและสภาคองเกรสนั้น จะช่วยให้นโยบายปรับลดอัตราภาษี และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายทรัมป์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่น และหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 5.7% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 5.4% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดีดตัวขึ้น 4.5% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้นกว่า 4% และหุ้นเนเวียนท์ คอร์ป พุ่งขึ้น 17%
หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพปรับตัวขึ้น โดยหุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 7.1%หุ้นเซลจีน คอร์ป ทะยานขึ้น 11% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 6% และหุ้นอเล็กเซียน ฟาร์มาซูติคัล พุ่งขึ้นกว่า 5%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ที่พุ่งขึ้น 8.1% หุ้นมาร์ติน มาเรียตต้า แมทีเรียลส์ ปรับตัวขึ้นกว่า 5%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในตลาดการเงินคาดว่า โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นั้น ลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 50% หลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อินโฟเควสท์