- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 03 November 2016 13:20
- Hits: 3019
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ กังวลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ,เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.
นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากแรงหนุนยังไม่เด่นชัด ขณะที่ตลาดฯยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งของสหรัฐฯ แม้ว่าผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ แต่ก็มีการส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. อีกทั้งราคาน้ำมันก็ร่วงลงด้วย ซึ่งน่าจะไปกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน
อย่างไรก็ดี ก็ยังคาดหวังว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กจะช่วยดันตลาดฯไว้ได้ โดยเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยเด่นเฉพาะตัวก็อาจจะปรับตัวได้ดี แต่ก็ให้ระวังการอ่อนตัวลงของตลาดฯด้วย ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ทรงตัว
พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500-1,508 ถัดไปก็ 1,518 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,959.64 จุด ลดลง 77.46 จุด (-0.43%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,105.57 จุด ลดลง 48.01 จุด (-0.93%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,097.94 จุด ลดลง 13.78 จุด (-0.65%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 5.96 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 101.95 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 12.75 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 4.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 5.54 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 22.03 จุด
ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันวัฒนธรรมแห่งชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ย.59) 1,498.65 จุด ลดลง 5.87 จุด (-0.39%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 882.98 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ย.59) ปิดที่ 45.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.33 ดอลลาร์ หรือ 2.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 พ.ย.59) ที่ 8.13 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.92 แข็งค่าหลังดอลลาร์อ่อน กังวลความไม่แน่นอนของการเมืองสหรัฐ
- ธปท.เผยสถาบันการเงินมองว่าไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ แต่ยังคงเข้มงวดปล่อยกู้ต่อ หนักสุดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจยังขยายตัวในระดับต่ำ
- ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการของเงินหยวนอ่อนค่าลงถึง 1.28% ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นระดับอ่อนสุดในรอบ 6 ปีนั้น เป็นผลมาจากทางการจีนกำหนดค่ากลางของเงินหยวนในทิศทางที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และการอ่อนค่าดังกล่าวก็ถือว่าเป็นไปตามกลไกตลาดที่มาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากที่นักลงทุนปรับเพิ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งภายในปีนี้
- รองผู้อำนวยการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการเตรียมการตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ จะประชุมคณะกรรมการเพื่อสรุปโครงสร้างของกองทุนทั้งหมด เพื่อที่จะระดมทุนให้ได้ 1 แสนล้านบาท
- คมนาคมเดินหน้าแผนพัฒนาพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ 5.8 หมื่นล้านบาท นำร่องปี 60 เปิดประมูล แปลงเอ 32 ไร่ วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท ให้เอกชนร่วมลงทุนแบบพีพีพี เน็ตคอสต์ ยอมรับแผนพัฒนาพื้นที่ กม.11 วงเงิน 1 แสนล้านบาทสะดุด ติดปัญหารื้อย้ายบ้านพักพนักงาน เลื่อนเปิดร่วมทุนปี 63
- กกพ.ยันไม่มีทุจริต ประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตฯ เตรียมชี้แจงเหตุ 19 โครงการ ที่ไม่ผ่าน พร้อมเร่ง 7 รายที่ผ่านดำเนินการขั้นต่อไป ให้ทัน COD เดือน ธ.ค.62
*หุ้นเด่นวันนี้
- SAT (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 17.50 บาท ผลการดำเนินงานงวด Q3/59 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าที่คาดเดิม โดยเฉพาะในส่วนของคูโบต้า โดยคาดว่ากำไรสุทธิ Q3/59 จะอยู่ที่ 168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% QoQ แต่ลดลง 7% YoY พร้อมคาดแนวโน้มกำไรสุทธิงวด Q4/59 จะทรงตัวได้ดีจาก Q3/59 ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิรวมทั้งปี 2559 จะดีกว่าที่เคยคาดไว้เดิม พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2560 จะเริ่มกลับมาเติบโต จากยอดการผลิตรถยนต์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคัน จากปี 2559 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.9–1.95 ล้านคัน
- IRPC (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 5.42 บาท จาก Catalyst ที่จะผลักดันผลประกอบการในระยะยาวคาดว่ามาจากโครงการ UHV คาดว่าจะสร้าง GIM contribution ได้ราว 1.50 เหรียญฯต่อบาร์เรลในปี 60, โครงการ Everest ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยบริษัทตั้งเป้าที่ 1,500 ล้านบาทต่อปี, กำไร 3Q59 เป็นจุดต่ำสุดของปี และแนวโน้มธุรกิจหลัก 4Q59F ฟื้นตัวจากช่วงฤดูหนาว ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่น-อัตรากำไรปิโตรเคมีฟื้นตัว ด้านผลประกอบการ 3Q59 มีกำไรสุทธิ 1,307 ล้านบาท ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย และน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี
- ROBINS (ยูโอบี เคย์เฮียน) ผลประกอบการเข้าสู่ช่วง high season ปลายปี และมีโอกาสเติบโตดีกว่าคาดหลังกำลังซื้อต่างจังหวัดมีแนวโน้มดีขึ้นตามรายได้ภาคการเกษตรก.ย.ที่เพิ่มขึ้น 12.4% นอกจากนี้ยังได้ผลดีจากเม็ดเงินอัดฉีดภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ ราคาหุ้นซื้อขายที่ PEG เท่า CPALL แต่ถูกกว่าในเชิง PER และ EV/EBITDA
- TVO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 40 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/59 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 พันล้านบาท +26% Q-Q, +53% Y-Y จากการเติบโตของทั้งธุรกิจน้ำมันถั่วเหลือง (ราคาปาล์มซึ่งเป็นสินค้าทดแทน แพงขึ้น) และกากถั่วเหลือง (ราคากากถั่วเหลืองนำเข้าแพงขึ้น ผู้ประกอบการจึงหันมาซื้อกากถั่วเหลืองในประเทศมากขึ้น) แนวโน้มกำไร Q4/59 จะชะลอตามฤดูกาล โดยปรับกำไรสุทธิปี 2559 ขึ้น 27% เป็น +44% Y-Y จากเดิมคาด +13% Y-Y และปรับกำไรปีหน้าขึ้น 16% แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับฐานสูงในปีนี้ และคาด Dividend yield 8% ต่อปี
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นอกจากนั้นยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,096.77 จุด ลดลง 5.96 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,708.55 จุด ลดลง 101.95 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,126.29 จุด ลดลง 12.75 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,974.93 จุด ลดลง 4.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,801.60 จุด ลดลง 5.54 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,658.19 จุด ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,230.37 จุด ลดลง 22.03 จุด ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันวัฒนธรรมแห่งชาติ
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 71.72 จุด วิตกผลการเลือกตั้งปธน.สหรัฐ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐและแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 71.72 จุด หรือ 1.04% แตะที่ 6,845.42 จุด
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนมีความวิตกกังวลว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์หน้า
คะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันเริ่มตีตื้นขึ้นมานำแซงหน้านางฮิลลารี อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า FBI เตรียมรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี
นักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า หากผลสำรวจคะแนนนิยมของนายทรัมป์ พุ่งแตะระดับ 50% ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง 4-5% และหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ทรุดตัวลงถึง 10-11%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 14.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 482.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.8% ในขณะที่หุ้นบีพีลดลง 1%
หุ้นเพอร์ไซมอน ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของอังกฟษเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากคาดว่า บริษัทจะมีมาร์จิ้นกำไรเพิ่มขึ้นในในช่วงครึ่งปีแรก
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษซึ่งจะมีขึ้นในช่วงต่อไปของวันนี้
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : วิตกการเมืองสหรัฐ ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) หลังจากผลสำรวจของหลายสำนักบ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เริ่มตีตื้นขึ้นมานำแซงหน้านางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ 331.55 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,370.93 จุด ร่วงลง 155.23 จุด หรือ -1.47% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,414.67 จุด ลดลง 55.61 จุด หรือ -1.24% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,845.42 จุด ลดลง 71.72 จุด หรือ -1.04%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหลังจากผลสำรวจหลายสำนักบ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันเริ่มตีตื้นขึ้นมานำแซงหน้านางฮิลลารี อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า FBI เตรียมรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี
นักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า หากผลสำรวจคะแนนนิยมของนายทรัมป์ พุ่งแตะระดับ 50% ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง 4-5% และหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ทรุดตัวลงถึง 10-11%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างหนัก ภายหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ดิ่งลง 5.3% หุ้นซับซี ร่วงลง 4.3% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับตัวลง 2.8% มลเลอร์-เมอร์สก์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลง 7.2% หลังจากกำไรของบริษัทได้ทรุดตัวลงในไตรมาส 3 โดยถูกกระทบจากอัตราค่าระวางที่ดิ่งลงถึง 16% เมื่อเทียบรายปี
ทั้งนี้ โมลเลอร์-เมอร์สก์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิดิ่งลง 43% สู่ระดับ 438 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 โดยลดลงจากระดับ 778 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 490 ล้านดอลลาร์
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 77.46 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดบ.เดือนธ.ค.
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ หลังจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมปัดฝุ่นรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการคว้าชัยชนะของนางฮิลลารีในการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,959.64 จุด ลดลง 77.46 จุด หรือ -0.43% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,105.57 จุด ลดลง 48.01 จุด หรือ -0.93% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,097.94 จุด ลดลง 13.78 จุด หรือ -0.65%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลง โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงติดต่อกัน 7 วันทำการ หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อกำลังดีดตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ส่วนการจ้างงานยังคงมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดระบุว่าจะยังคงจับตาสิ่งบ่งชี้เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลก รวมทั้งพัฒนาการทางการเงินต่อไป
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐ หลังจากผลสำรวจบ่งชี้ว่า คะแนนนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันเริ่มตีตื้นขึ้นมานำแซงหน้านางฮิลลารี อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า FBI เตรียมรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี
นักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า หากผลสำรวจคะแนนนิยมของนายทรัมป์ พุ่งแตะระดับ 50% ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง 4-5% และหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ทรุดตัวลงถึง 10-11%
อย่างไรก็ดี แบบจำลองการคาดการณ์ของหลายสำนัก ยังคงให้นางฮิลลารีเป็นตัวเก็งที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยแบบจำลองการคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยพรินส์ตันให้นางฮิลลารีมีโอกาสชนะมากถึง 97% ส่วนของนิวยอร์กไทม์สให้ความเป็นไปได้ถึง 88% และ FiveThirtyEight.com ให้นางฮิลลารีมีโอกาสชนะ 71%
ขณะที่แบบจำลองคาดการณ์ของมูดี้ส์ อนาลิติกส์ ระบุว่า นางฮิลลารีจะกวาดคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งได้ถึง 332 เสียง ขณะที่นายทรัมป์ จะได้เพียง 206 เสียง โดยผู้ที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง จะต้องได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอีกเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นไพโอเนียร์ เนเชอรัล รีซอส หุ้นมาราธอน ออยล์ และหุ้นเซมพรา เอนเนอร์จี ต่างก็ร่วงลงกว่า 4%
หุ้นอาลีบาบา ร่วงลง 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.อยู่ที่ระดับ 2.97 หยวน/หุ้น หรือ 0.45 เซนต์/หุ้น ลดลง 67% เมื่อเทียบกับระดับ 8.87 หยวน/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
หุ้นแวเลียนท์ ฟาร์มาซูติคัล อินเตอร์เนชั่นแนล ดิ่งลง 12% หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทกำลังเจรจาขายกิจการซาลิกซ์ ฟาร์มาร์ซูติคัล ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ให้กับบริษัท ทาเคดะ ฟาร์มาซูติคัล โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นโตเกียว (TSE) ประกาศระงับการซื้อขายหุ้นทาเคดะ ฟาร์มาซูติคัล เมื่อวานนี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.8% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการ
ส่วนหุ้นไทม์ วอร์เนอร์ ดีดตัวขึ้นกว่า 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ 7.17 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.2% จากระดับ 6.56 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก Suicide Squad ซึ่งเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่สร้างรายได้ถล่มทลาย
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนั้น ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 147,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และเป็นระดับย่ำแย่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้ รวมทั้งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 166,000 ตำแหน่ง
นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในรอบ 10 ปี
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9% จากเดิมที่ระดับ 5.0%
อินโฟเควสท์