WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET45ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวในกรอบ-รอปัจจัยตปท.,เก็งกลุ่มรับเหมาฯเทรดดิ้งตามข่าวประมูลรถไฟฟ้า

     นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ มองว่าน่าจะอยู่ในช่วงของการรอปัจจัยจากภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ), การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์นี้ รวมไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงก็เป็นผลจากการที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องกำลังการผลิต ทำให้คงจะยังไปกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน

        อย่างไรก็ดี ตลาดฯคงจะเป็นลักษณะของการเทรดดิ้งในกรอบ โดยถ้าดัชนีฯยังยืนเหนือระดับ 1,486-1,490 จุด ได้ทิศทางก็ยังใช้ได้ แต่ถ้าหลุดก็อาจจะเกิดแรงขายตามออกมา สำหรับหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯก็อาจจะมีการเล่นตามข่าวได้ ในเรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้า

     ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อยคละกัน โดยแต่ละตลาดฯคงจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยของแต่ละตลาดฯกันไปก่อน อย่างตลาดหุ้นไทยก็ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,486-1,500 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (31 ต.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,142.42 จุด ลดลง 18.77 จุด (-0.10%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,189.13 จุด ลดลง 0.97 จุด (-0.02%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,126.15 จุด ลดลง 0.26 จุด (-0.01%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 44.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.17 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 80.52 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 17.82 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 4.78 จุด,  ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.21 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.10 จุด

     - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 ต.ค.59) 1,495.72 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด (+0.09%)

      - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,458.50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (31 ต.ค.59) ปิดที่ 46.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.84 ดอลลาร์ หรือ 3.8%

    - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 ต.ค.59) ที่ 7.20 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 35.01 ทรงตัว รอดูผลประชุมบีโอเจวันนี้,จับตาประชุมเฟด-เลือกตั้งปธน.สหรัฐ

       - ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงสถานการณ์การออมของประเทศในปีนี้ ยอมรับว่ามีอัตราการเติบโตที่ลดลง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 11% ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2552-2553 ที่มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 16% ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของประชาชนที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่ในภาพรวมแล้วถือว่าไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากสถานการณ์การออมยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าการลงทุนของประเทศ โดยปัจจุบันการออมของประเทศคิดเป็น 33% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่อไตรมาส ขณะที่การลงทุนคิดเป็น 25% ต่อจีดีพีต่อไตรมาส ถือเป็นตัวสะท้อนได้ว่าประเทศไทยยังมีสภาพคล่องในระบบค่อนข้างสูง

      - รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ขยายตัวอยู่ที่ 0.06% โดยเดือน ก.ย. 2559 ขยายตัวอยู่ที่ 0.6% อยู่ที่ระดับ 107.77 ขณะที่เอ็มพีไอไตรมาส 3 ของปี 2559 หดตัวอยู่ที่ 0.5% โดยอยู่ที่ระดับ 108.32 และเตรียมพิจารณาปรับลดคาดการณ์เอ็มพีไอ ปี 2559 อีกครั้งในรอบเดือน พ.ย.นี้

      - รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จะรายงานการดำเนินโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (แอ็กชั่นแพลน) พ.ศ. 2558-2565 ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบในช่วงสัปดาห์หน้า โดยในปี 2560 มีวงเงินลงทุนในโครงการต่างๆ รวมกว่า 2 แสนล้านบาท

      - ธปท.มองไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยดีกว่าคาดการณ์ไว้ เล็งปรับเป้าส่งออก หลังตัวเลขเป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง พร้อมประเมินผลกระทบปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ กระทบนักท่องเที่ยวกว่า 2 แสนคน

      - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ว่า มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 8,923 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.12 แสนล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่ระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นไตรมาสแรกไหลออกสุทธิ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 2 ไหลออกสุทธิ 1,813 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท และไตรมาส 3 ไหลออกสุทธิ 6,811 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.4 แสนล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

       - CK (ไอร่า) เป้า 37.50 บาท ระดับ Backlog แข็งแกร่ง ทั้งจากงานใหม่ที่รับเข้ามาในช่วง 8M/59 มูลค่ารวม 24,145 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างรอลงนามอีก 1 โครงการ มูลค่าอีกราว 25,000 ล้านบาท ทำให้งานเพิ่มในปี 59 สูงถึง 49,000 ล้านบาท และคาดทำให้ระดับ Backlog สิ้นปี 59 ไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท และยังมีแผนเข้าร่วมประมูลงานที่คาดทยอยออกมา 1H/60 มูลค่ารวมราว 370,000 ล้านบาท คาดได้เพิ่ม 20-25% หรือไม่ต่ำกว่า 75,000 ล้านบาท ทำให้ Backlog ยังโตเด่น ล่าสุดร่วมประมูลงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ทั้งหมด 6 สัญญา มูลค่ารวม 76,240 ล้านบาท โดย JV กับ STEC ทั้ง 6 สัญญา คาดประกาศ PQ ในวันที่ 1/12/59 และเปิดซองราคาในวันที่ 6/1/60

        - BCH (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดรายงานกำไรไตรมาส 3/59 เติบโตโดดเด่น ทั้งปัจจัยฤดูกาล (หน้าฝน) และจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของ รพ.เก่า ขณะที่ WMC มีผลขาดทุนทีดีขึ้นจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่ปรับดีขึ้น และน่าจะกลับมามีกำไรในปี 2560 คาดการณ์กำไรโต 42.5% และ 24.0% YoY

        - PTT (เคทีบีฯ) "ซื้อ"เป้า 380 บาท คาดรายงานกำไรสุทธิ Q3/59 แข็งแกร่ง ฟื้นตัวโดดเด่นจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ธุรกิจก๊าซได้แรงหนุนต้นทุนลด ลูกค้าหลักกลับมาเดินเต็มกำลังการผลิต แนวโน้มกำไรดีต่อเนื่อง ด้านต้นทุนก๊าซปรับลดลงต่อช่วงปลายปี ลอยตัว NGV หนุนภาระขาดทุนธุรกิจดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เตรียมปรับประมาณการเพิ่ม ทั้งนี้ ธุรกิจก๊าซสดใส ธุรกิจอื่นอย่างปั๊มน้ำมันและถ่านหินเติบโตได้ตามสภาวะตลาด

     - KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 202 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพง มี 2560PBV 1.2 เท่า คิดเป็นเพียง -1.5SD และสะท้อนความผิดหวัง NPL ที่พุ่งสูงใน Q3/59 ไปแล้ว แนวโน้ม NPL ratio น่าจะลดลงใน Q4/59 จากการ write off และสินเชื่อที่เพิ่ม โดยคาด NPL ratio ปีหน้าจะคงที่ที่ 3.3-3.4%

       - ROBINS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 76 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/59 -16% Q-Q เพราะหน้าฝน แต่ +28% Y-Y จากการเปิดสาขาและเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand ชดเชยเหตุระเบิดภาคใต้ได้ กำไรจะกลับมาสดใสตั้งแต่ Q4/59 ราคาหุ้น +35% YTD laggard ที่สุดกลุ่ม Modern trade ทำให้มี 2560PE 20 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่อยู่ที่ 28-30 เท่า น่าสนใจที่สุดในเชิง Valuations

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ

        ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

     ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.2% เมื่อเวลาประมาณ 9.25 น.ตามเวลาโตเกียว

      ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,380.54 จุด ลดลง 44.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,101.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.17 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,015.06 จุด เพิ่มขึ้น 80.52 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,272.30 จุด ลดลง 17.82 จุด

    ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,003.41 จุด ลดลง 4.78 จุด,  ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,814.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.21 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,673.56 จุด เพิ่มขึ้น 1.10 จุด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 42.04 จุด หลังราคาน้ำมันร่วงหนัก

    ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ หลังที่ประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นปรับลดการผลิต

    ดัชนี FTSE 100 ลดลง 42.04 จุด หรือ -0.60% ปิดที่ 6,954.22 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ และหุ้นบีพีที่ปรับตัวลง 1.9% และ 1.7% ตามลำดับ

     ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดงหลังจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นการปรับลดการผลิต ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

     นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ หลังจากสื่อหลายแห่งรายงานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เขาตั้งใจที่จะลาออกจากตำแหน่งในปี 2561 อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ ระบุว่า นายคาร์นีย์ตั้งใจที่จะดำรงตำแหน่งไปจนครบวาระ

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุราคาน้ำมันร่วงฉุดหุ้นพลังงาน

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ยอดค้าปลีกของเยอรมนีหดตัวลงในเดือนก.ย. โดยปัจจัยดังกล่าวได้สกัดแรงบวกจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงมีการขยายตัวในไตรมาส 3

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 339.53 จุด

      ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,665.01 จุด ลดลง 31.18 จุด หรือ -0.29% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,509.26 จุด ลดลง 39.32 จุด หรือ -0.86% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,954.22 จุด ลดลง 42.04 จุด หรือ -0.60%

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดอ่อนแรงลง หลังจากสำนักงานสถิติเยอรมนี (Destatis) รายงานว่า ยอดค้าปลีกของเยอรมนีในเดือนก.ย.ได้ปรับตัวลดลง 1.4% จากเดือนส.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.2% โดยคาดว่าครัวเรือนมีความวิตกต่อภัยก่อการร้ายและทิศทางเศรษฐกิจโลก จนส่งผลให้มีการใช้จ่ายลดลง

     หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมมันในตลาดโลก โดยหุ้นทุลโลว์ ออยล์ ร่วงลง 2% หุ้นโอเอ็มวี เอจี ปรับตัวลง 0.8% หุ้น Eni SpA ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของอิตาลี ดิ่งลง 1.4% และหุ้นจอห์น วูด กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบ่อน้ำมัน ปรับตัวลง 0.3%

     การร่วงลงของราคาน้ำมันได้สกัดปัจจัยบวกจากรายงานของยูโรสแตทซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีการขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 3 ถึงแม้เผชิญกับความไม่แน่นอนจากการที่อังกฤษตัดสินใจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

     ทั้งนี้ ยูโรสแตทไม่ได้เปิดเผยตัวเลขการขยายตัวเป็นรายประเทศ แต่คาดว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนต่างก็จะต้องพึ่งพาเยอรมนี ขณะที่เศรษฐกิจของฝรั่งเศส และอิตาลี ยังไม่มีการส่งสัญญาณืฟ้นตัวขึ้นจากภาวะชะงักงัน และเศรษฐกิจของกรีซ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตหนี้ในยูโรโซน ยังคงเผชิญปัญหางบประมาณ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 18.77 จุด เหตุราคาน้ำมันร่วง,วิตกการเมืองสหรัฐ

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นมากเกินคาดของสหรัฐ รวมทั้งข่าวการควบธุรกิจน้ำมันและก๊าซของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) และบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,142.42 จุด ลดลง 18.77 จุด หรือ -0.10% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,189.13 จุด ลดลง 0.97 จุด หรือ -0.02% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,126.15 จุด ลดลง 0.26 จุด หรือ -0.01%

     ดัชนี ดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบวันสุดท้ายของเดือนต.ค. เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต แม้ว่า FBI ประกาศปิดคดีดังกล่าวไปในเดือนก.ค.ก็ตาม

     ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวเอบีซี/วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ข่าวการรื้อคดีของ FBI ส่งผลให้คะแนนนิยมของนางฮิลลารีนำหน้านายโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงเล็กน้อย โดยคะแนนนิยมของนางฮิลลารีอยู่ที่ 46% ขณะที่คะแนนนิยมของนายทรัมป์อยู่ที่ 45%

     ด้านนักวิเคราะห์จากซิตี้ กรุ๊ปออกรายงานระบุว่า การที่ FBI เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารีนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 8 พ.ย. โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดปรับลดการคาดการณ์ชัยชนะของนางฮิลลารีเหลือเพียง 75% จาก 81% ก่อนหน้านี้

      นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงถึง 3.8% หลังจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการประชุมในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการร่วงลงของราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.7% ขณะที่หุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลงกว่า 4%

      อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า เจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ซึ่งเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ และบริษัท เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐและเป็นบริษัทขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ ประกาศข้อตกลงควบรวมธุรกิจน้ำมันและก๊าซ เมื่อวานนี้

      นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.ย. โดยปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย.

      นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ ขณะที่ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 73% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. และมีโอกาสเพียง 6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย.

      นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์จากการปิโตรเลียมสหรัฐ (API)

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!