WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET26ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์อิงปรับฐานหวั่น Fund Flow ไหลออก-บาทอ่อน

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ อิงปรับฐานในกรอบจำกัดราว 1,490-1,510 จุด เนื่องจากธนาคารกลางที่เคยดำเนินนโยบายผ่อนคลายมานานอาจดึงเงินกลับ และคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ทำให้ Bond yield ของสหรัฐและเยอรมันปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน ซึ่งอาจว่งผลให้ Fund Flow ไหลออกได้ง่ายขึ้น

     รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติขาย ซึ่ง 2-3 วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายออกมามากขึ้น

      ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย แนะติดตามทิศทาง Bond yield ของทั่วโลก เพราะมีผลต่อ Fund Flow

พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,505-1,510 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (27 ต.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,169.68 จุด ลดลง 29.65 จุด (-0.16%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,215.97 จุด ลดลง 34.30 จุด (-0.65%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,133.04 จุด ลดลง 6.39 จุด (-0.30%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 111.83 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 43.52 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 7.84 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.15 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 5.23 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.58 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 2.22 จุด

        - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (27 ต.ค.59) 1,498.36 จุด เพิ่มขึ้น 6.24 จุด (+0.42%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,366.45 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ต.ค.59

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (27 ต.ค.59) ปิดที่ 49.72 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 1.1%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (27 ต.ค.59) ที่ 7.55 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 35.14 อ่อนค่าลง หลังตัวเลขศก.สหรัฐฯ ออกมาดี หนุนดอลลาร์แข็งค่า

       - ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ผู้ประกอบการได้ชะลอแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 4,000 ยูนิต ออกไปเปิดขายในปี 2560 แทน เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศที่มากระทบส่งผลให้บรรยากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โดยประเมินว่าไตรมาส 4 จะมีคอนโดเปิดใหม่ประมาณ 2 หมื่นยูนิต จากเดิมคาดว่าจะเปิด 2.4 หมื่นยูนิต ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2558 มีโครงการเปิดใหม่รวม 2.9 หมื่นยูนิต

        - ประชาสัมพันธ์สภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ยางพาราเกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากภาคใต้ของไทยอยู่ในช่วงปิดหน้ายางเพราะเข้าสู่ฤดูฝน ไม่เพียงแต่ไทยเท่านั้น ทางอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราในประเทศมาเลเซียประสบปัญหายางไม่เพียงพอเช่นเดียวกัน

       - ส.อ.ท.ชี้ต้นปีหน้าเอกชนทั้งในและนอกประเทศแห่ลงทุนไทย หลังพบเศรษฐกิจโลกและสหรัฐอเมริกาปรับตัวดีขึ้น คลังมั่นใจจีดีพีทั้งปี 2559 โตเกิน 3% แน่นอน

       - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า สิ้นเดือน ก.ย.59 ระบบธนาคารพาณิชย์มียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ยังไม่กันสำรอง (Gross NPL) อยู่ที่ 3.94 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.89% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มี 3.74 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.72% โดยเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 5.36% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 3.61 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.79% ของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 9.14%

      - คมนาคมชงใช้ ม.44 เซตซีโร่เลิกรถเมล์เอกชน 111 สัญญาทั้งใน กทม.ปริมณฑลย้ายไปซบอกขนส่งทางบก พร้อมเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบถึงปี 61 ขสมก.เป็นแค่ผู้แข่งขันรายหนึ่งเท่านั้น

*หุ้นเด่นวันนี้

       - BPP เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยเสนอขาย IPO 21 บาท/หุ้น

        บมจ. บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิตเฉพาะส่วนที่บริษัทเป็นเจ้าของรวม 1,913 MW แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1,711.2 MW และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 56.6 MW โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าในประเทศไทย 1 แห่ง 717 MW ประเทศลาว 1 แห่ง 751.2 MW ประเทศจีน 5 แห่ง 293 MW และประเทศญี่ปุ่น 2 แห่ง 6.6 MW

      - ERW (แอพเพิล เวลธ์) "ซื้อ"เป้า 5.10 บาท คาดกำไร Q3/59 ที่ 56 ล้านบาท พลิกกลับเป็นบวกจากปีก่อนที่ติดลบ 20 ล้านบาท หลักๆ จากธุรกิจโรงแรมมีรายได้ที่ราว 1.32 พันล้านบาท เติบโต +13%YoY พร้อมคาดรายได้โรงแรม Q4/59 อาจทรงตัวหลังธุรกิจอาหารและ Event รื่นเริงบางส่วนถูกเลื่อนไป แต่คาดน่าจะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้งใน Q1/60 ซึ่งเป็นช่วง High Season และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดปีนี้กำไรสุทธิ 351 ล้านบาท +77%YoY

       - SEAFCO (เคจีไอ) "ซื้อสะสม"เป้า Consensus 13.7 บาท แนวโน้มอุตสาหกรรมรับเหมาฯอยู่ในขาขึ้น จากงานประมูลภาครัฐฯที่จะทยอยออกมาต่อเนื่องในไตรมาส 4/59 (รถไฟฟ้าสีเหลือง+ชมพู / รถไฟรางคู่ มาบกะเบา-จิระ + ประจวบฯ-ชุมพร) โดยคาดรถไฟรางคู่ ประจวบฯ-ชุมพร จะเริ่มขายซอง พ.ย.นี้ พร้อมประเมินอุปทานเครื่องจักรสำหรับการตอกเสาเข็มในไทยจะเริ่มตึงตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/59 เป็นต้นไป (งานภาครัฐฯ+ภาคอสังหาฯฟื้น) ส่งผลบวกต่อแนวโน้มอัตรากำไรงานเสาเข็ม

       - กลุ่มโรงกลั่น (TOP, BCP) "เก็งกำไร"ค่าการกลั่นฟื้นตัวดี ล่าสุด 7.55 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากที่ลงต่ำสุดตอนต้นเดือน ต.ค. (4.69 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล) รวมกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาทำให้มีความคาดหวังกำไรจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 4/59 (จากที่มีผลขาดทุนในไตรมาส 3/59) (เคจีไอ)

       - TU (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไรปี 60 เติบโต 16.6% สูงสุดในกลุ่มอาหาร ได้ปรับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน และการเติบโตมีโอกาสดีกว่าคาดจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต สำหรับดีลล่าสุด Red Lobster ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดบริษัทสามารถพลิกให้ธุรกิจกลับมากำไรได้ในปี 60

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อ่อนตัวลง ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก

    ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงเช้านี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาเกินคาด ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,448.25 จุด เพิ่มขึ้น 111.83 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,111.70 จุด ลดลง 0.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,088.83 จุด ลดลง 43.52 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,307.39 จุด เพิ่มขึ้น 7.84 จุด

     ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,021.97 จุด ลดลง 2.15 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,823.71 จุด ลดลง 5.23 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,669.61 จุด เพิ่มขึ้น 0.58 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,442.92 จุด ลดลง 2.22 จุด

     กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากความต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ปรับตัวลดลง

     ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ เพื่อดูว่าคณะกรรมการเฟดจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.หรือไม่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2559 ของสหรัฐ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 28.48 จุด ขานรับ GDP อังกฤษโตเกินคาด

       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ต.ค.) หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษขยายตัวได้ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

       ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,986.57 จุด เพิ่มขึ้น 28.48 จุด หรือ +0.41%

       ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้น หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ว่า GDP ไตรมาส 3/2559 ขยายตัว 0.5% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.3%

      ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวดีเกินคาดในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. จากอานิสงส์กิจกรรมภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอังกฤษสามารถรับมือผลพวงจากการลงประชามติเพื่อถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้

      หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่หุ้นลอยด์ แบงกิง ปรับขึ้น 2.9% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 1.4%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัว เหตุผลประกอบการผันผวน

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัวเมื่อคืนนี้ (27 ต.ค.) โดยในขณะที่ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษขยายตัวได้ดีเกินคาดในไตรมาส 3 นั้น ภาวะการซื้อขายโดยรวมก็ได้รับแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการที่ผันผวนของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลงไม่ถึง 0.1% ปิดที่ 341.71 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,533.57 จุด ลดลง 1.02 จุด หรือ -0.02% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,717.08 จุด เพิ่มขึ้น 7.40 จุด หรือ +0.07% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,986.57 จุด เพิ่มขึ้น 28.48 จุด หรือ +0.41%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ว่า GDP ไตรมาส 3/2559 ขยายตัว 0.5% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.3%

      ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวดีเกินคาดในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. จากอานิสงส์กิจกรรมภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอังกฤษสามารถรับมือผลพวงจากการลงประชามติเพื่อถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้

     อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา หลังจากบริษัทจดทะเบียนในยุโรปได้เปิดเผยผลประกอบการที่ผันผวน

       หุ้นดอยซ์แบงก์ ปรับตัวขึ้น 0.6% หลังจากดอยซ์แบงก์เผยรายได้สุทธิ 278 ล้านยูโร (303 ล้านดอลลาร์) ในไตรมาส 3 ปี 2559 จากที่ขาดทุน 6 พันล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากต้นทุนการปรับโครงสร้างที่ต่ำกว่าคาดการณ์

      หุ้นโนเกีย ร่วงลง 6.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ลดลง อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

       หุ้นเทเลโฟนิกา ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารของสเปน ดิ่งลง 1% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2559 และมีแนวโน้มที่จะปรับลดการจ่ายเงินปันผลในปีหน้า

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 29.65 จุด วิตกผลประกอบการอ่อนแอ,ข้อมูลศก.ซบเซา

     ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (27 ต.ค.) หลังจากบริษัทจดทะเบียนบางแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ รวมถึงฟอร์ด มอเตอร์ และทวิตเตอร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐปรับตัวลดลง ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,169.68 จุด ลดลง 29.65 จุด หรือ -0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,215.97 จุด ลดลง 34.30 จุด หรือ -0.65% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,133.04 จุด ลดลง 6.39 จุด หรือ -0.30%

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่เปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 1.18% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิลดลง 56% สู่ระดับ 957 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือที่ระดับ 24 เซนต์/หุ้น เทียบกับตัวเลขกำไร 55 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

      ทั้งนี้ ฟอร์ดยังได้ประกาศปิดโรงงานในอเมริกาเหนือในเดือนนี้เพื่อลดกำลังการผลิตรถยนต์ เนื่องจากทางบริษัทยังคงเผชิญกับยอดขายที่ชะลอตัวในสหรัฐ, ค่าใช้จ่ายในการเรียกคืนรถยนต์ และความยากลำบากในการเปิดตัวรถปิกอัพรุ่นใหม่

       ด้านบริษัททวิตเตอร์ อิงค์ เปิดเผยว่า บริษัทประสบภาวะขาดทุน 102.9 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือ 15 เซนต์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 616 ล้านดอลลาร์

      ทั้งนี้ ทวิตเตอร์ประกาศปลดพนักงานราว 9% ทั่วโลก หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่า 300 คนของพนักงานทั้งหมด โดยข่าวการปลดพนักงานดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่บริษัท Salesforce.com, วอลท์ดิสนีย์ และ อัลฟาเบท ต่างก็ไม่ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการของบริษัท อย่างไรก็ตาม หุ้นทวิตเตอร์ปิดตลาดขยับขึ้น 0.6% เมื่อคืนนี้

       หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.49% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 มูลค่า 1.27 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

       ส่วนหุ้นโคโนโคฟิลิป พุ่งขึ้น 5.3% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มแนวโน้มผลประกอบการตลอดปี 2559 ขณะที่หุ้นเทสลา มอเตอร์ ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

      นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากความต้องการซื้อคอมพิวเตอร์, สินค้าอิเลกทรอนิกส์ และอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ปรับตัวลดลง

       สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 258,000 ราย ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 110

       นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ เพื่อดูว่าคณะกรรมการเฟดจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.หรือไม่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2559 ของสหรัฐ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!