- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 14 October 2016 14:17
- Hits: 1658
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ความผันผวนยังมีอยู่ จับตาแรงขายต่างชาติ
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่ายังผันผวนอยู่ แต่การที่ดัชนีปรับขึ้นมาราว 200 จุด และลงไปเกือบ 100 จุดรอบนี้ ประเมินว่าสะท้อนความกังวลไประดับหนึ่งแล้ว แต่ก็มองว่ายังมีโอกาสย่อตัว
ส่วนปัจจัยต่างประเทศไม่มีอะไร ต่างชาติน่าจะขายทั้งภูมิภาค เพราะต่างชาติซื้อมามากพอควรแล้วในช่วงที่ผ่านมา คงทยอยออกเพราะปกติช่วงไตรมาส 4 ต่างชาติจะเป็นฝั่งขายส่วนใหญ่ ส่วนค่าเงินบาทคงไม่อ่อนมาก กลยุทธ์ถ้าราคาหุ้นปรับลงมามากๆ เป็นจังหวะที่เก็บได้
โดยมองแนวรับ 1,400 จุด และ 1,385 จุด แนวต้าน 1,440 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ต.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,098.94 จุด ร่วงลง 45.26 จุด (-0.25%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,213.33 จุด ลดลง 25.69 จุด (-0.49%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,132.55 จุด ลดลง 6.63 จุด (-0.31%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 23.20 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพ่มขึ้น 88.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 20.91 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพ่มขึ้น 6.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.43 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.11 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ต.ค.59) 1,412.82 จุด เพิ่มขึ้น 6.64 จุด (+0.47%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 585.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ต.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ต.ค.59) ปิดที่ 50.44 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ต.ค.59) ที่ 5.34 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- ค่าเงินบาทเปิด 35.40 แข็งค่าต่อเนื่อง คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 35.00-35.50
- กระทรวงคลังสั่ง แบงก์กรุงไทย ตั้งวอรูมพิเศษดูแลความปลอดภัยหากเกิดเหตุการณ์ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก เชื่อทุกแบงก์เตรียมพร้อมรับมือแล้ว ขณะแบงก์ เริ่มห่วงปัญหาสภาพคล่อง ลุยซื้อดอลลาร์ตุนกดเงินบาทอ่อนค่า
- มอนิ่งสตาร์" เผยรายย่อยลุยซื้อกองทุนรวมหุ้น 3 วัน ยอดไหลเข้าสุทธิ 2,630 ล้าน สวนทางหุ้นร่วงลงแรง
- กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รายงานว่า เริ่มตั้งแต่ดำเนินการจนถึงวันที่ 30 ก.ย.59 ว่า กองทุนฟื้นฟูฯได้ชาระคืนหนี้ทั้งเงินทุนและดอกเบี้ยแล้วทั้งสิ้น 4,355 ล้านบาท แบ่งเป็น ชำระคืนเงินต้น 1,022 ล้านบาท โดยชำระเงินต้นในส่วนของกองทุนฟื้นฟูฯ กองที่ 1 (เอฟไอดีเอฟ 1) หรือการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล 1,000 ล้านบาท และเป็นการชำระเงินต้นในส่วนของเอฟไอดีเอฟ 3 พันธบัตร ออมทรัพย์รัฐบาลที่ออกขายให้กับสถาบันการเงินอีก 22 ล้านบาท และชำระดอกเบี้ยไปแล้ว 3,333 ล้านบาท
- SCB EIC ปรับประมาณการอัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 59 เป็น 3% จากเดิม 2.8% เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกออกมาดีกว่าคาด ขยายตัวได้ถึง 3.4% ได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยบวกชั่วคราว เช่น มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่ช่วยเร่งให้เกิดการก่อสร้าง การเร่งใช้จ่ายของภาครัฐและการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล และการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ของค่ายรถต่างๆ และการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีมาตลอดเป็นแรงสนับสนุนหลัก
*หุ้นเด่นวันนี้
- SCC(ไอร่า)"ซื้อ"เป้า 565 บาท เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนช่วงราคาลดลงตามภาวะตลาด โดยยังมีประเด็นน่าสนใจเฉพาะตัวเชิงพื้นฐาน แลมองเชิงบวกหลังลงทุนต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้ง Green Field และ M&A เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาค หลังจากนี้เริ่มเก็บเกี่ยว คาด Q2/59 โดดเด่นดีกว่าตลาดคาด กำไรสุทธิ 16,027 ล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปี หลักๆ จากสเปรดปิโตรเคมีสูงช่วยชดเชยธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และPackaging ที่รับผลกระทบฤดูกาล คาดสเปรดยังดีต่อเนื่องในไตรมาส 3 ล่าสุด Spread PE และ PP เทียบ Naphta อยู่ที่ 749USD และ 705USD เพิ่มขึ้นจาก 743USD และ 680USD ในไตรมาส 2 ขณะที่ปี 59 คาดกำไรสุทธิ 46,290 ล้านบาททำนิวไฮ และอยู่ระหว่างปรับเพิ่มประมาณการ
- ESSO(ธนชาต)"ซื้อ"เป้า 7.70 บาท การใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังปิดซ่อมโรงกลั่นจะเริ่มเห็นผลใน 4Q16 และมีมูลค่าซ่อนจากธุรกิจ สถานีเติมน้ำมัน 340 สาขาที่ถือหุ้นโดย ESSO เอง (จากทั้งหมด 540 สาขา) ด้วย PE ที่ 4.7x ปีนี้ และ 6.0x ปีหน้ายังต่ำกว่าโรงกลั่นอื่นๆ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ ขณะจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย.
ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.1% สู่ระดับ 137.81 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,751.04 จุด ลดลง 23.20 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,056.99 จุด เพิ่มขึ้น 4.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,119.96 จุด เพิ่มขึ้น 88.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,198.26 จุด ลดลง 20.91 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,021.66 จุด เพิ่มขึ้น 6.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,805.05 จุด ลดลง 0.43 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,665.13 จุด เพิ่มขึ้น 0.11 จุด
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 46.27 จุด เหตุวิตกเศรษฐกิจจีน
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน หลังจากจีนเปิดเผยยอดส่งออกที่ร่วงลงอย่างเหนือการคาดหมาย
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 46.27 จุด หรือ 0.66% แตะที่ 6,977.74 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย.ร่วงลง 5.6% เทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.2%
ส่วนมูลค่าการค้าต่างประเทศในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ลดลง 1.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าว ปรับตัวลง 1.6% และยอดนำเข้าลดลง 2.3%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน และหุ้นริโอ ทินโต กรุ๊ป ต่างก็ร่วงลงมากกว่า 4.4% หลังจีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย.ปรับตัวลดลงในอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้
หุ้นเทสโก้ร่วงลง 3% หลังจากร้านค้าออนไลน์ของบริษัทระบุว่าไม่มีสินค้าหลายรายการของบริษัทยูนิลีเวอร์ ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง 2 บริษัทในเรื่องการปรับขึ้นราคาสินค้า
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตกข้อมูลการค้าจีนซบเซา
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากทางการจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่ซบเซา ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.9% ปิดที่ 335.62 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,405.17 จุด ลดลง 47.07 จุด หรือ -1.06% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,414.07 จุด ร่วงลง 109.00 จุด -1.04% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,977.74 จุด ลดลง 46.27 จุด หรือ -0.66%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลง หลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย.ร่วงลง 5.6% เทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.2%
ส่วนมูลค่าการค้าต่างประเทศในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ลดลง 1.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าว ปรับตัวลง 1.6% และยอดนำเข้าลดลง 2.3%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วลงหลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่ซบเซา โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดิ่งลง 4.4% หุ้นโบลิเดน เอบี ร่วงลง 2.5% และหุ้นอาร์เซลอร์มิททัล ปรับตัวลง 3%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ปรับตัวลง 1.4% หุ้นโฟล์คสวาเกน ร่วงลง 2% และหุ้นเดมเลอร์ เอจี ดิ่งลง 1.4%
หุ้นยูนิลีเวอร์ ผู้ผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภค ร่วงลง 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ชะลอตัวลง
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 45.26 จุด วิตกเฟดขึ้นดบ.,ศก.จีนอ่อนแอ
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากทางการจีนเปิดเผยตัวเลขการค้าที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,098.94 จุด ลดลง 45.26 จุด หรือ -0.25% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,213.33 จุด ลดลง 25.69 จุด หรือ -0.49% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,132.55 จุด ลดลง 6.63 จุด หรือ -0.31%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อมูลการค้าที่ซบเซาของจีน โดยสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย.ร่วงลง 5.6% เทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.2%
ส่วนมูลค่าการค้าต่างประเทศในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ลดลง 1.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าว ปรับตัวลง 1.6% และยอดนำเข้าลดลง 2.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย. โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดที่ต้องการให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น มีความวิตกว่าการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคารดอยซ์แบงก์ และกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในธนาคารเวลส์ ฟาร์โก โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.2% หุ้นแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน ดิ่งลง 2.6% ส่วนหุ้นเวลส์ ฟาร์โก หุ้นเจพีมอร์แกน เชส และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ต่างก็ปรับตัวลงถ้วนหน้า
หุ้นแมริออท แวเคชันส์ เวิล์ดไวด์ กรุ๊ป ร่วงลง 8.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าการคาดการณ์ของตลาด
ขณะที่หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ปิดตลาดดีดตัวขึ้น 1.6% หลังจากร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากผลประกอบการที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ในการประชุมเศรษฐกิจครั้งที่ 60 ของเฟดสาขาบอสตัน ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ เพื่อจับความเคลื่อนไหวว่าประธานเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หรือไม่ โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "The Elusive Recovery"
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวในสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับต่ำสุดในรอบ 43 ปี โดยอยู่ที่ระดับ 246,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.1973 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 254,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ราคานำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ย. โดยขยับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน หลังเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และร่วงลง 1.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2014
อินโฟเควสท์