- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 07 October 2016 16:53
- Hits: 2085
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งกรอบจำกัด ราคาน้ำมันขึ้นหนุน,จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯคืนนี้
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คงจะแกว่งตัวในกรอบจำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิเมื่อวานนี้ด้วย อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็แข็งค่าขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯน่าจะดีขึ้น แต่ก็ยังต้องรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในคืนนี้ด้วยว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง หากออกมาดีก็มีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น จากข่าวที่จะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งจะจัดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 8-13 ต.ค.นี้ ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เพื่อหารือกันเกี่ยวกับรายละเอียดของข้อตกลงในการกำหนดเพดานการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศ
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบเล็กน้อย พร้อมให้แนวรับ 1,505 จุด ส่วนแนวต้าน 1,515-1,520 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ต.ค.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,268.50 จุด ลดลง 12.53 จุด (-0.07%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,306.85 จุด ลดลง 9.17 จุด (-0.17%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,160.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.04 จุด (+0.05%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 15.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.35 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.21 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ (7 ต.ค.) เนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ต.ค.59) 1,513.86 จุด เพิ่มขึ้น 3.94 จุด (+0.26%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 463.60 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ต.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ต.ค.59) ปิดที่ 50.44 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 1.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.ปีนี้
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ต.ค.59) ที่ 4.97 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.86 แนวโน้มยังอ่อนค่าหลังเงินไหลออก-รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐคืนนี้
- "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี กล่อมฝรั่งเศสลงทุนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) 23 บริษัทใหญ่ แอร์บัส มิชลิน ธนาคารบีเอ็นพี สนใจ เล็งเข้าพบบิ๊กตู่ 13 ต.ค.นี้
- "วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ" รมช.คลัง เผยได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งศึกษาการจัดเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างตามแนวรถไฟฟ้า เนื่องจากรัฐบาลได้พัฒนาและเชื่อมโยงด้านคมนาคมระหว่างเมืองและชนบท โดยรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ มี 12 เส้นทาง คาดจะแล้วเสร็จในปี 2564 เมื่อรวมกับเส้นทางในต่างจังหวัด ทำให้ตามแนวเส้นทางต่างๆ เกิดการพัฒนาและเชื่อมโยงไปด้วย ส่งผลให้รัฐบาลมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม เพราะผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากการพัฒนา
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่รุนแรง โดยในพื้นที่ 10 จังหวัดที่เกิดน้ำท่วมคาดว่าความเสียหายไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กระทบต่อจีดีพีไม่เกิน 0.05% แต่ทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์ในเดือน ต.ค.นี้ว่าจะรุนแรงขึ้นหรือไม่
- อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า วันที่ 7 ต.ค. นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ จะเป็นประธานประชุมหารือร่วมกับเอกชนรายใหญ่ 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ อาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อหารือถึงการผลักดันการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2559 รวมทั้งวางแผนส่งออกในปี 2560
- ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีสินเชื่อรายย่อยเพื่อนำไปประกอบอาชีพ หรือนาโนไฟแนนซ์ ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบได้ เพราะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึง ต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบว่า การแก้ไขปัญหาสินเชื่อนอกระบบต้องดูแลเป็นองค์รวม ทั้งในแง่ประชาชนผู้ใช้บริการ หรือผู้กู้ และบริษัทผู้ให้บริการ หรือผู้ให้กู้ โดยเท่าที่ผ่านมาทางการได้มีการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้กู้ด้วยการเพิ่มบริการนาโนไฟแนนซ์เพื่อให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อีกทาง
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ เปิดเผยว่า ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีผู้ส่งออกยื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนกับ ธสน.วงเงิน 12.55 ล้านบาท สาเหตุจากผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า 98% และผู้ซื้อล้มละลายอีก 2% โดยประเภทสินค้าแบ่งตามมูลค่า ประกอบด้วย เป็นข้าว 50% อาหารกระป๋อง 20% เส้นไหมสำหรับทอพรม 15% อัญมณีและเครื่องประดับ 12% และยางรถยนต์ 3% หากแบ่งตามประเทศผู้ซื้อ ได้แก่ เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และนอร์เวย์
*หุ้นเด่นวันนี้
- BBL (แอพเพิล เวลธ์) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 192 บาท คาดกำไร 3Q59 ทรงตัวที่ 9.32 พันลบ. +2.9%YoY +30%QoQ จาก ธ.พ. 1.1 เดือนส.ค.59 สินเชื่อหดตัว -1% นับจากเดือนมิ.ย.59 ทำให้คาดว่าสินเชื่อใน 3Q59 จะเติบโตได้ราว +0.3%QoQ แต่ NIM ยังเพิ่มขึ้นจาก 2.16% สู่ระดับ 2.25% จากการบริหาร Cost of Fund และ CASA ที่ดีขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ Net Interest Income ทรงตัวที่ 1.6 หมื่นลบ. +10.3%YoY, +2.2%QoQ ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 6.5 พันลบ. +8.0%YoY, +8.6%QoQ ในขณะที่ Non-Interest Income ปรับตัวดีขึ้นจาก FX Gain และ Investment Gain ส่งผลให้ Cost to Income ปรับตัวลงจากระดับ 46% ใน 2Q59 มาที่ระดับ 45% พร้อมคงประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2559 ที่ 3.42 หมื่นลบ.
- TU (ฟันันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 26 บาท แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q59 โตทั้ง Q-Q และ Y-Y เพราะเป็น High Season แต่การเติบโตอาจไม่ตื่นเต้น โดยคาดว่า +10.4% Q-Q, +3.7% Y-Y เพราะราคาวัตถุดิบสูงขึ้น Y-Y ขณะที่ราคาปลาทูน่าปรับลง Q-Q ลูกค้าบางส่วนจึงชะลอคำสั่งซื้อ ทำให้ยังคาดกำไรสุทธิปีนี้ +13.2% Y-Y ปีหน้า +21.7% Y-Y จากธุรกิจทูน่า กุ้ง และแซลมอน ที่ดีขึ้น และรวมผลประกอบการของ Rugen Fish (ปลากระป๋องในเยอรมนี) และ Chez Nous (ล็อบสเตอร์ในแคนาดา) เต็มปี
- CPF (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดผลประกอบการจะสูงที่สุดในช่วง 3Q59 เนื่องจาก 1) ราคาไก่ที่อยู่ในระดับสูงจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการนำเข้าไก่จากญี่ปุ่น และผลกระทบของการห้ามนำเข้าไก่ปู่ย่าพันธุ์จากสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2558 จากโรคระบาดไข้หวัดนก 2) ธุรกิจกุ้งที่เริ่มฟื้นตัว และ 3) ต้นทุนอาหารสัตว์ที่อยู่ในระดับต่ำ
- PTT (ไอร่า) เป้า 394 บาท คาดในปี 59 มีกำไรสุทธิ 93,541 ล้านบาท จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้นและผลการดำเนินงานธุรกิจก๊าซของ PTT ที่ฟื้นตัวโดดเด่น ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ PTTEP
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย.ในวันนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้หรือไม่
ดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับลงไม่ถึง 0.1% แตะระดับ 140.57 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.20 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,883.12 จุด ลดลง 15.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,948.95 จุด ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,289.66 จุด เพิ่มขึ้น 5.35 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,065.95 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,890.69 จุด เพิ่มขึ้น 5.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,668.94 จุด เพิ่มขึ้น 2.21 จุด
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 33.29 จุด เหตุวิตกผลกระทบ Brexit
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่อังกฤษลงมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 33.29 จุด หรือ 0.47% แตะที่ 6,999.96 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง เช่นเดียวกับเงินปอนด์ที่ร่วงลง จากความกังวลที่ว่าผลกระทบของ Brexit อาจทำให้อังกฤษไม่สามารถเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรป
นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมัน แสดงความเห็นว่า ประเทศใดที่ต้องการได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรป ก็ควรไม่มีการปิดกั้นสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชาชน
คำกล่าวของนางแมร์เคิลถือเป็นการระบุอ้างอิงถึงอังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่มีผู้อพยพจากยุโรปเดินทางเข้ามาในประเทศจนส่งผลกระทบต่อการหางานทำของชาวอังกฤษ
หุ้นอีซี่เจ็ทร่วงลง 6.9% หลังจากอีซี่เจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ของยุโรป ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2559 ลงอย่างมากถึง 29% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวก่อการร้าย
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตโลหะมีค่า นำโดยหุ้นเฟรสนิลโลและหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ที่ต่างก็ร่วงลงไม่ต่ำกว่า 2.2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงขายหุ้นสายการบิน ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มสายการบิน หลังจากสายการบินอีซีเจ็ทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการปี 2559 ลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุก่อการร้าย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 342.82 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,480.10 จุด ลดลง 9.85 จุด หรือ -0.22% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,568.80 จุด ลดลง 16.98 จุด, -0.16% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,999.96 จุด ลดลง 33.29 จุด หรือ -0.47%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงหลังจากหุ้นกลุ่มสายการบินถูกเทขายอย่างหนัก ภายหลังจากที่สายการบินอีซี่เจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ของยุโรป ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2559 ลงอย่างมากถึง 29% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวก่อการร้าย
ทั้งนี้ หุ้นอีซี่เจ็ท ร่วงลง 6.9% หุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล คอนโซลิเดทเต็ด แอร์ไลน์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ปรับตัวลง 3.9% หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ ดิ่งลง 1.5% หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ปรับตัวลง 1.7% และหุ้นดอยซ์-ลุฟฮันซา ร่วงลง 1.4%
ส่วนหุ้นธนาคารดอยซ์แบงก์ ปิดตลาดปรับตัวลง 0.3% หลังจากที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในระหว่างวัน ภายหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ได้ออกมาแสดงมุมมองที่เป็นบวกว่า ดอยซ์แบงก์ ยังไม่จำเป็นต้องรับเงินช่วยเหลือเพื่อพยุงกิจการ
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 12.53 จุด นักลงทุนชะลอเทรดก่อนสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงาน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย.ในวันนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,268.50 จุด ลดลง 12.53 จุด หรือ -0.07% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,306.85 จุด ลดลง 9.17 จุด หรือ -0.17% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,160.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.04 จุด หรือ +0.05%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย.ในวันนี้ โดยนักลงทุนจับตาดูข้อมูลดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้หรือไม่
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
สำหรับข้อมูลด้านแรงงานที่มีการเปิดเผยไปแล้วนั้น รวมถึงรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับตัวลดลง 5,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 ต.ค. สู่ระดับ 249,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.
ทางด้านออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 154,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และต่ำกว่าระดับ 181,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยในปีนี้ รวมทั้งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 166,000 ตำแหน่ง
หุ้นทวิตเตอร์ทรุดตัวลง 20% หลังจากมีกระแสข่าวว่า บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งรวมถึง กูเกิล, แอปเปิล และดิสนีย์ ต่างก็ไม่มีแผนที่จะเสนอราคาประมูลซื้อกิจการของทวิตเตอร์
หุ้นมายแลน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 3% เนื่องจากความวิตกกังวลว่าทางบริษัทจะถูกทางการสหรัฐสอบสวนในกรณีปรับขึ้นราคา "EpiPen" ในอัตราที่สูงเกินไป โดยยาดังกล่าวใช้รักษาอาการแพ้ขั้นรุนแรง
หุ้นวอลมาร์ท ดิ่งลง 3.2% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลปประกอบการในปีหน้า และระบุว่ายังไม่มีแผนที่จะขยายธุรกิจ
ขณะที่หุ้น Yum Brands ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ฟ้าสฟู้ดชื่อดังอย่าง KFC และ Pizza Hut ปรับตัวลง 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่น้อยกว่าการคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB และนายวิคเตอร์ คอนสแตนซิโอ รองประธาน ECB ต่างก็ออกมายืนยันว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของ ECB ไม่ได้มีการหารือกันในประเด็นปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนที่โครงการดังกล่าวจะหมดอายุในเดือนมี.ค.ปีหน้า
การยืนยันดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ ECB ว่า ECB อาจจะปรับลดวงเงิน QE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน ก่อนที่โครงการดังกล่าวจะหมดอายุในเดือนมี.ค.ปีหน้า โดยคาดว่า ECB อาจจะปรับลดวงเงินลง 1 หมื่นล้านยูโร/เดือน ซึ่งการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซน
อินโฟเควสท์