WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

3 8 ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์หลังยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่ต้องจับตาหลายปัจจัยใน-นอกปท.

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เป็นไปได้ทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย อาจคล้ายคลึงกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแนดบวก-ลบเล็กน้อยอย่างไม่มีทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากตลาดฯยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา

       ขณะที่ยังต้องรอดูการเลือกตั้งของสหรัฐฯ, รอดูการ preview งบฯของกลุ่มแบงก์, อาจมีการทำ Window Dressing ในสัปดาห์นี้ ส่วนราคาน้ำมันมีการีบาวด์เล็กน้อยซึ่งก็อาจแค่ช่วย Support ให้กลุ่มพลังงานไม่ปรับตัวลง เนื่องจากจะเห็นได้ว่าเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มขาย และเงินบาทก็เริ่มอ่อนค่าลงด้วย โดยเช้านี้เงินบาทก็ยังอ่อนค่าลงเล็กน้อย

       อย่างไรก็ดี ในช่วงเปิดตลาดฯดัชนีฯอาจรีบาวด์ได้เล็กน้อย เพราะตัวเลขส่งออกของไทยออกมาดีทำให้อาจมาช่วยหนุนตลาดฯได้ พร้อมให้แนวรับ 1,485 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,094.83 จุด ร่วงลง 166.62 จุด (-0.91%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,257.49 จุด ลดลง 48.26 จุด (-0.91%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,146.10 จุด ลดลง 18.59 จุด (-0.86%)

         - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 153.65 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 5.84 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 38.11 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 9.79 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 16.90 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 4.19 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 5.46 จุด

                ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องจากอิทธิพลพายุไต้ฝุ่นเมกี

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ก.ย.59) 1,490.14 จุด ลดลง 2.74 จุด (-0.18%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 544.25 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ก.ย.59

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ก.ย.59) ปิดที่ 45.93 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.45 ดอลาร์ หรือ 3.3%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ก.ย.59) ที่ 7.35 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.61/63 แนวโน้มแข็งค่าต่อ ตลาดจับตาดีเบต"ฮิลลารี-ทรัมป์"นัดแรก

                - "สุวิทย์"ยันส่งออกทั้งปีติดลบไม่เกิน 1% เรียกเอกชนปั๊มยอด หลัง ส.ค.ยอดบวก 6.5% ในรอบ 5 เดือน โดย"สุวิทย์ เมษินทรีย์" รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การผลักดันส่งออกในระยะ 4 เดือนที่เหลือนั้น ในสัปดาห์นี้ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ จะเชิญภาคเอกชนรายใหญ่ในกลุ่มส่งออกสำคัญของไทย เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร อัญมณี และอิเล็กทรอนิกส์ มาหารือว่าจะสามารถผลักดันการส่งออกเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างไร

                - แบงก์ชาติระบุไม่ได้ห่วงต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรสินทรัพย์ในไทย แต่ห่วงคนไทยไม่เข้าใจความเสี่ยงและหันไปลงทุน รูปแบบใหม่ๆ กนง.ให้ติดตามพฤติกรรมลงทุนของกองทุนรวมและการแข่งขันของสถาบันการเงิน ส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์นำเงินลงทุนในหุ้นเติบโตถึง 40%

                - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปข้อมูลสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2559 มีเงินให้สินเชื่อสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.6 พันล้านบาท จากเดือนก่อน สู่ระดับ 10.425 ล้านล้านบาท โดยการขยับขึ้นของสินเชื่อกระจายในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ นำโดยสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เติบโตสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของยอดที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2559 แม้ว่าการทยอยชำระคืนสินเชื่อภาครัฐอย่างต่อเนื่องยังคงกดดันภาพการเติบโตของสินเชื่อโดยรวม อย่างไรก็ดี ตัวเลขภาพรวมสินเชื่อทั้งระบบเติบโตชะลอลงมาที่ระดับ 1.85% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ -0.43% เทียบกับสิ้นปีก่อน (YTD) เนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในปีก่อน

                - ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์การรับบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ทั้ง SET และ mai เน้นพัฒนาคุณภาพของหลักทรัพย์และเสริมสภาพคล่องการซื้อขาย ให้ตลาดทุนไทยเติบโตบนรากฐานที่แข็งแกร่ง เริ่มบังคับใช้ 1 ม.ค.2560 และกำหนดพาร์ขั้นต่ำ 0.5 บาท เริ่ม 1 ต.ค.2559 พร้อมศึกษาการ ส่งเสริม ธุรกิจขนาดเล็กให้เข้าถึงแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจง่ายขึ้น

                - "ธีรัชย์ อัตนวานิช" รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เผยหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ก.ค. 2559 อยู่ที่ 5.95 ล้านล้านบาท คิดเป็น 42.89% ของจีดีพี  เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล 4.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.87 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท และกู้เงินเพื่อลงทุน 5,770 ล้านบาท ชำระหนี้กู้โดยตรง 2.22 หมื่นล้านบาท ชำระหนี้ชดเชยความเสียหายกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 9,900 ล้านบาท

                - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการกันค่าเผื่อความเสียหายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน (ธนาคารรัฐ) เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีการกันค่าเผื่อความเสียหายรวมเพิ่มขึ้นถึง 3.68 หมื่นล้านบาท หรือ 9.84% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จาก 3.74 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 4.11 แสนล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

                - ADVANC (ยูโอบี เคย์เฮียน) "ซื้อ"เป้า 210 บาท  คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 3/59 จะลดลง 28% yoy และ 36% qoq อยู่ที่ 8,616 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการตัดจำหน่ายคลื่นความถี่ 900 MHz เต็มไตรมาสและค่าใช้จ่าย Handset subsidies อย่างไรก็ตาม มองว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก และจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2560

                - JWD (ยูโอบี เคย์เฮียน) "เก็งกำไร"ระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง รวมทั้งตัวเลขการส่งออกที่จะประกาศวันนี้ (คาดว่าจะฟื้นตัวเทียบกับเดือน ก.ค.) ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสสามคาดว่าจะฟื้นตัวเทียบกับไตรมาส 2/59  นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากการร่วมทุนงานขนส่งทางอากาศ และซื้อธุรกิจห้องเย็นที่มาเลเซีย มูลค่า 2 พันล้านบาท

      - SYNTEC (โกลเบล็ก) เป้า 4.09 บาท ปรับประมาณการกำไรปี 59 สู่ระดับ 649 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของปี 59 จะอยู่ที่ 15% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นในอดีตที่ระดับ 12% และคาดว่าปลายปีมูลค่างานในมือ (Backlog) จะถึงระดับ 2 หมื่นล้านบาท เพียงพอต่อการรับรู้รายได้ 3 ปี (Backlog ปัจจุบัน 1.4 หมื่นล้าน และคาดว่าจะได้งานใหม่ 6 พันล้านบาท)

      - TPCH (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้าพื้นฐาน 22 บาท ประเมินแนวโน้มกำไรทำนิวไฮต่อเนื่อง 3-5 ไตรมาสติด จากการทยอย COD โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มี PPA แล้วตามแผน  และมี Catalyst ที่รออยู่คือการเปลี่ยนสัญญา LOI เป็น PPA (20MW ที่ จ.ปัตตานี) ด้านเทคนิครูปแบบราคาเริ่มเกิดสัญญาณซื้อต่อเนื่องหลัง Breakout กรอบ Sideway และทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันแบบ EMA ที่ 17.4 ขึ้นมาได้ ล่าสุดกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น 3-15 วัน เริ่มตัดขึ้น (Golden Cross) ราคาหุ้นวานนี้ปิดทดสอบแนวต้านที่ประเมินไว้ที่ 18.3 บาท หากทะลุผ่านได้ประเมินทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 19 บาท (กรณีไม่ผ่าน 18.3 บาท แนะนำ ซื้อแนวรับ" 17.8 บาท

      - BA (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 34.25 บาท ช่วง 2H59 คาดกำไรโตเด่น YoY จากการท่องเที่ยวเกาะสมุยที่สดใสและต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง หนุนให้คาดปี 59 กำไรปกติยังโตเด่น 20.1%YoY และโตต่อปีละ 27.1% ในปี 60-61 จากการปรับปรุงสนามบินสมุยและเพิ่มฝูงบิน และมี Upside 36% และคาดให้ Div. Yield ปีละ 4.3%

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงเช้านี้ หลังหุ้นญี่ปุ่นร่วง, วิตกราคาน้ำมันดิ่ง

       ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับปัจจัยถ่วงจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ร่วงลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินเยนส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทส่งออกญี่ปุ่น

                ดัชนี MSCI Asia Pacific ร่วงลง 0.5% สู่ระดับ 141.33 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.05 น.ตามเวลาโตเกียว

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,504.99 จุด ลดลง 178.94 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,000.70 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,455.73 จุด ลดลง 116.17 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,062.57 จุด ลดลง 0.25 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,863.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.15 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,664.77 จุด เพิ่มขึ้น 0.05 จุด ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องจากอิทธิพลพายุไต้ฝุ่นเมกี

                นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงกดดันหลังจากอิหร่านและซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะไม่ตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนลดคาดการณ์การบรรลุข้อตกลงในการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์นี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน:ฟุตซี่ปิดลบ 91.39 จุด หลังหุ้นพลังงานร่วง

       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) หลังจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง ในขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์นี้

      ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 91.39 จุด หรือ 1.32% แตะที่ 6,818.04 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้นบีพีและหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ที่ต่างก็ร่วงลงมากกว่า 1.4% ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมระหว่างกลุ่มโอเปกและรัสเซียที่มีกำหนดจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ นอกรอบการประชุมพลังงานระหว่างประเทศ (IEF) ที่แอลจีเรีย โดยที่ประชุมจะหารือการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน

       ผลสำรวจล่าสุดของ CNBC Oil Survey พบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการประชุมดังกล่าวจะส่งผลให้ที่ประชุมบรรลุข้อตกลงจำกัดการผลิตน้ำมัน แต่ถ้าหากที่ประชุมสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันเป็นอย่างมาก

     ทั้งนี้ ผู้ถูกสำรวจ 65% ไม่คาดว่าจะมีการทำข้อตกลงในการประชุมดังกล่าว ขณะที่ 52% ระบุว่า หากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันสามารถบรรลุข้อตกลงตรึงกำลังการผลิต ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาน้ำมัน

      หุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเท็ล กรุ๊ป ร่วงลง 4.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทมอร์แกนสแตนลีย์ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัว เหตุตลาดถูกกดดันจากราคาน้ำมันร่วง

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัวเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระดับหนึ่ง หลังจากผลสำรวจบ่งชี้ถึงชัยชนะของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ในการดีเบตรอบแรกเมื่อวานนี้

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 340.19 จุด จากเมื่อวันก่อนที่ระดับ 340.00 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,398.68 จุด ลดลง 9.17 จุด หรือ -0.21% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,361.48 จุด ลดลง 32.23 จุด หรือ -0.31% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,807.67 จุด ลดลง 10.37 จุด หรือ -0.15%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากอิหร่านและซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะไม่ตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมองว่า การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์นี้จะไม่มีการทำข้อตกลงใดๆ

                ทั้งนี้ การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเรพซอล ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของสเปน ร่วงลง 2.4% และหุ้นโอเอ็มวี ร่วงลง 1.6% ขณะที่หุ้นปิโตรแฟค ดิ่งลง 1.6% และหุ้นเทคนิพ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของฝรั่งเศส ปรับตัวลง 1.7%

                หุ้นดอยซ์แบงก์ปิดทรงตัว หลังจากที่ดีดตัวขึ้นในระหว่างวัน ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารสามารถได้รับการลดหย่อนค่าปรับ หากยอมร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐบาล

                ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นดอยซ์แบงก์ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากนิตยสาร Focus รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เมินให้ความช่วยเหลือธนาคารดอยซ์แบงก์ต่อกรณีที่ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสั่งปรับเป็นเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์

                แต่ทางด้านนายยอร์ก ไอเจนดอร์ฟ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของดอยซ์แบงก์ กล่าวว่า นายจอห์น ไครอัน ซีอีโอของธนาคาร ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเยอรมันในการเจรจากับทางการสหรัฐเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับแต่อย่างใด

                ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน หลังจากผลสำรวจของ CNN ระบุว่า ผู้ถูกสำรวจจำนวน 62% มองว่านางฮิลลารีได้รับชัยชนะในการดีเบตครั้งแรกซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ ขณะที่ 27% มองว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะ

 ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 133.47 จุด รับผลดีเบต,ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ

    ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากผลสำรวจที่บ่งชี้ถึงชัยชนะของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ในการดีเบตรอบแรกเมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับรายงานของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนก.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

   ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,228.30 จุด พุ่งขึ้น 133.47 จุด หรือ +0.74% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,305.71 จุด เพิ่มขึ้น 48.22 จุด หรือ +0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,159.93 จุด เพิ่มขึ้น 13.83 จุด หรือ +0.64%

    ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า นางฮิลลารีมีชัยชนะเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ในการดีเบตรอบแรก โดยผลสำรวจของ CNN ระบุว่า ผู้ถูกสำรวจจำนวน 62% มองว่านางฮิลลารีได้รับชัยชนะในการดีเบตครั้งนี้ ขณะที่ 27% มองว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะ

    ส่วนผลการสำรวจของ fivethirtyeight.com หลังเสร็จสิ้นการดีเบต พบว่า หากมีการจัดการเลือกตั้งในวันนี้ นางฮิลลารีมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง 52.1% ขณะที่นายทรัมป์มีโอกาส 47.9%

   นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยอยู่ที่ระดับ 104.1 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 99.0

      ทั้งนี้ Conference Board ระบุว่า ผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อภาวะการจ้างงาน และยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อสภาวะธุรกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

     หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับฐานขึ้น นำโดยหุ้นอเมซอนพุ่งขึ้น 2.1% หุ้นเน็ทฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 2.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 1.8% และหุ้นไอบีเอ็ม พุ่งขึ้น 1.8%

    หุ้นกลุ่มธุรกิจเดินทางปรับตัวขึ้นเช่นกัน หลังจากบริษัทคาร์นิวัล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยหุ้นคาร์นิวัล พุ่งขึ้น 4% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ทะยานขึ้น 4.8% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 4.5% และหุ้นเอ็กซ์พีเดีย ปรับขึ้น 3.7%

   หุ้นดอยซ์แบงก์ ดีดตัวขึ้น 0.6% หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารสามารถได้รับการลดหย่อนค่าปรับ หากยอมร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐบาล

   อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนลดคาดการณ์การบรรลุข้อตกลงในการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์นี้ โดยหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ร่วงลง 1.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 1.1% และหุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี ปรับตัวลง 0.23%

     นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค. ส่วนวันพฤหัสบดีจะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2559 และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค. สำหรับวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน

   อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!