- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 20 September 2016 10:34
- Hits: 2776
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่ง Sideway รอดูผลประชุมเฟด-BOJ ,Fund Flow ชะลอ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway เนื่องจากรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ เป็นหลัก ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
ทั้งนี้ ตลาดฯเริ่มมีสัญญาณเตือนจากแรงขายทำกำไรที่มากขึ้น และ Fund Flow ชะลอ หลังวานนี้เริ่มกลับมาเห็นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 3 พันล้านบาท หลังจากที่ re-balance ของ FTSE จบแล้ว
พร้อมให้แนวรับ 1,480 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (19 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,120.17 จุด ลดลง 3.63 จุด (-0.02%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,235.03 จุด ลดลง 9.54 จุด (-0.18%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.12 จุด ลดลง 0.04 จุด (0.00%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 116.07 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.12 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 56.44 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 11.67 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 1.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 7.82 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.20 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (19 ก.ย.59) 1,492.73 จุด เพิ่มขึ้น 13.66 จุด (+0.92%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,450.60 เมื่อวันที่ 19 ก.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (19 ก.ย.59) ปิดที่ 43.30 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (19 ก.ย.59) ที่ 7.36 หรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.82 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ ตลาดจับตาทิศทางดอกเบี้ย FED-BOJ
- แบงก์ชาติเผยธุรกรรมบาทเน็ตมี 3.53 แสนรายการ มูลค่า 78.51 ล้านล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นตามธุรกรรมโอนเงินภายในสถาบัน ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลและธุรกรรมชำระดุลเช็ครอบปกติ
- รมช.คลัง เปิดเผยว่า ตราสารหนี้ของไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนไทยทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าในหลายประเทศทั่วโลก โดยตราสารหนี้อายุ 10 ปี ของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีอัตราผลตอบแทนตั้งแต่ 1.5-2% กว่า หรือเฉลี่ย 1.03% แม้จะไม่สูงมาก แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ที่มีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในขณะนี้ติดลบ เพื่อเป็นการลดสภาพคล่องในตลาดการเงิน
- ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานสาเหตุการปรับเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ยังไม่ได้กันสำรอง (Gross NPLs) ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศและสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไตรมาส 2 ปีนี้ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่าเอ็นพีแอลโดยรวมอยู่ที่ 6.51 หมื่นล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 1,726 ล้านบาท หรือ 2.58%
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายจะยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 ภายในเดือนมกราคม 2561 แต่หากกรณีเอกชนมองว่าไม่พร้อมเพราะมีปัญหาเรื่องน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (จีเบส 95) ไม่เพียงพอและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ต้องดูเหตุผลและข้อเท็จจริง โดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กำลังติดตามใกล้ชิด
- พาณิชย์เผยยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่เดือนสิงหาคมแตะ 6,200 ราย สูงสุดในรอบ 8 เดือน ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ คาดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นราย ส่วนธุรกิจค้าสลากครองยอดเลิกกิจการสูงสุด
- รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีว่า ได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 พบว่ายังน่าเป็นห่วงกลุ่มเกษตรกร เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรยังอ่อนตัว รองนายกฯ จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังมีมาตรการช่วย 2 เรื่อง คือ ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยจะเสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า
*หุ้นเด่นวันนี้
- SMT (เคจีไอ) เป้า 8.25 บาท ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H59 โต HoH จากออเดอร์สินค้า High margin ทีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะรับรู้ผลบวกจากประเด็นนี้เต็มปีในปี 2560 (คาด EPS โต 60% CAGR 2559 - 2561) ด้านรูปแบบราคาฟื้นตัวต่อเนื่อง หากวันนี้ยืนเหนือ 6.05 บาทได้ ประเมินมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 6.3 บาท (เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) และถัดไปที่ 6.5 บาท (แนวต้านเทรนไลน์ขาลง) แนวรับ 5.8 บาท
- JMT (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 19.30 บาท เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงโดยมี CAGR เฉลี่ยปี 2559-2561 ที่ 46% หลังคาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/59
- THAI (โกลเบล็ก) เป้า consensus สูงสุด 35.7 บาท โดย Consensus คาดงบปี 2559 จะพลิกเป็นกำไรราว 1 หมื่นล้านบาท จาก Cabin factor ทรงตัวระดับสูงราว 70% รวมถึงได้ประโยชน์จากต้นทุนราคาน้ำมันลดลง และการปิดเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไรออกไป และคาดมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนราว 1 - 1.4 พันล้านบาท จากค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง เนื่องจากมีหนี้สินในรูปยูโรราว 40% และ P/BV ที่ 1.5 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนกลุ่มที่ 2.7 เท่า
- EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16 บาท แม้ว่าธุรกิจของ EPG (ชิ้นส่วนรถที่เป็นพลาสติก, ฉนวนยาง, บรรจุภัณฑ์พลาสติก) จะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ แต่มีลักษณะ defensive พอสมควรเพราะบริษัทมีฐานการผลิตและตลาดกระจายอยู่หลายประเทศทั่วโลก จึงได้รับผลกระทบจำกัดหากเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งแย่ไป ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมายังพิสูจน์ว่าไม่ถูกกระทบจากราคาน้ำมันดิบและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ราคาหุ้นปัจจุบันมี Forward PE 20 เท่า ปรับลงจากในช่วงก่อนหน้าที่อยู่ที่ 24-25 เท่า และต่ำกว่าการเติบโตของกำไรเฉลี่ยใน 2 ปีนี้ที่ 22%
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ เหตุนักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนประชุมเฟด, BOJ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้
ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลงเกือบ 0.1% สู่ระดับ 138.31 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.15 น. ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,403.22 จุด ลดลง 116.07 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,494.01 จุด ลดลง 56.44 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,141.21 จุด ลดลง 11.67 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,014.50 จุด ลดลง 1.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,844.32 จุด ลดลง 7.82 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,656.91 จุด เพิ่มขึ้น 5.20 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการประชุดเฟด และ BOJ ในวันที่ 20-21 ก.ย. อย่างใกล้ชิด ขณะที่มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนั้นนักลงทุนยังจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อหาสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดพุ่ง 103.27 จุด รับราคาน้ำมัน,โลหะฟื้นตัว
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาโลหะ
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 103.27 จุด หรือ 1.54% แตะที่ 6,813.55 จุด
หุ้นกลุ่มพลังงานหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 1 เดือน หลังเหตุการณ์ปะทะกันในลิเบียส่งผลให้การส่งออกน้ำมันของประเทศต้องสะดุดลง โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ และหุ้นทูลโลว์ ออยล์ ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.9%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ นำโดยหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นแองโกล อเมริกัน ที่ต่างก็พุ่งขึ้นมากกว่า 5.7% หลังจากราคาโลหะดีดตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นำโดยหุ้นบาร์แรตต์ ดีเวลล็อปเมนท์ และหุ้นเบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 1.2% และ 2.5% ตามลำดับ หลังรายงานบ่งชี้ว่า ราคาบ้านในกรุงลอนดอนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนก.ย.
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดพุ่ง รับราคาน้ำมันฟื้นหนุนหุ้นพลังงานดีดตัว
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) โดยตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1% ปิดที่ 341.27 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,394.19 จุด เพิ่มขึ้น 61.74 จุด หรือ +1.43% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,373.87 จุด เพิ่มขึ้น 97.70 จุด หรือ +0.95% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,813.55 จุด เพิ่มขึ้น 103.27 จุด หรือ +1.54%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน หลังจากนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่า โอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก กำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงภายในเดือนนี้
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นโททาล พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นรอยัล ดัชท์ เชลล์ ปรับขึ้น 1.8% หุ้น Eni ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของอิตาลี พุ่งขึ้น 1.5%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นเกลนคอร์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 6.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของเครดิตสวิสได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเกลนคอร์
สำหรับ การประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ที่เมืองบราติสลาวา เมืองหลวงของสโลวาเกียนั้น ที่ประชุมได้ร่าง "แถลงการณ์และโรดแม็พบราติสลาวา (Bratislava Declaration and Roadmap) " เพื่อวางกรอบการดำเนินงานของ EU
ทั้งนี้ แถลงการณ์และโรดแม็พบราติสลาวาซึ่งมีความยาว 4 หน้านั้น ประกอบไปด้วยแผนการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของชาวยุโรปที่วิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาผู้ลี้ภัย ความมั่นคง และเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในยุโรป แม้ว่าอังกฤษได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก EU ก็ตาม
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 3.63 จุดหลังหุ้นกลุ่มสุขภาพร่วง ขณะตลาดจับตาประชุมเฟด
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพ และกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลที่ร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,120.17 จุด ลดลง 3.63 จุด หรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,235.03 จุด ลดลง 9.54 จุด หรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.12 จุด ลดลง 0.04 จุด หรือ 0.00%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ดิ่งลง 1.5% หลังจากบริษัทซาโนฟี ได้ยื่นฟ้องเมอร์ค แอนด์ โค ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรยา Lantus ขณะที่หุ้นเรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรคตา ร่วงลง 1.4%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการซื้อขายได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากข้อมูลของสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านอยู่ที่ระดับ 65 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 60
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเคบี โฮม พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นดีอาร์ฮอร์ตัน ปรับขึ้น 1.6% หุ้นพัลท์กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.5%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า หากเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะช่วยให้ภาคธนาคารมีกำไรจากการปล่อยเงินกู้มากขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวขึ้น 0.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดีดขึ้น 1.3%
นักลงทุนจับตาการประชุดเฟด และ BOJ ในวันที่ 20-21 ก.ย. อย่างใกล้ชิด ขณะที่มีกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และจะจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อหาสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึง ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนส.ค.จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด, ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื่องต้นเดือนก.ย.โดยมาร์กิต
อินโฟเควสท์