- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 07 June 2016 09:53
- Hits: 2477
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งขึ้นเช่นเดียวกับตปท.หลังเฟดคงไม่ขึ้นดบ.มิ.ย.-จับตาบทบาทภาครัฐฯต่อไป
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกัน ภายหลังจากที่มีการคาดการณ์กันแล้วว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานออกมาไม่ดี พร้อมให้ติดตามทิศทางราคาน้ำมันต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดบ้านเราก็ยังน่าจะได้รับอานิสงค์จาก Flow ที่ยังคงอยู่หรือไหลเข้ามาได้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยดูจะยังไม่ฟื้นตัวเท่าไร ซึ่งยังคงจะต้องจับตาดูบทบาทของภาครัฐฯต่อไป โดยวันนี้ก็มีเรื่องที่จะเก็บภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์
พร้อมให้แนวรับ 1,434 จุด ส่วนแนวต้าน 1,460 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 มิ.ย.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,920.33 จุด พุ่งขึ้น 113.27 จุด (+0.64%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,968.71 จุด เพิ่มขึ้น 26.19 จุด (+0.53%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,109.41 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด (+0.49%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 71.02 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.18 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 188.74 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 25.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 7.24 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 13.52 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.27 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 47.13 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 มิ.ย.59) 1,443.42 จุด เพิ่มขึ้น 6.99 จุด (+0.49%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 749.97 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 มิ.ย.59) ปิดที่ 49.69 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 2.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 มิ.ย.59) ที่ 4.80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.28/30 มองโอกาสแข็งค่าต่อให้กรอบ 35.20-35.40 หลังเฟดยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย
- นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะโครงการด้านคมนาคม เช่น โครงการรถไฟฟ้า เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักธุรกิจให้ลงทุนตาม
- "อิสระ บุญยัง" นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา (ครม.) ในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ หากเป็นไปตามที่ระบุว่าจะจัดเก็บภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยที่เป็นหลังแรกราคาเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ก็จะไม่กระทบกับคนส่วนใหญ่ เพราะที่อยู่อาศัยราคาเกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียงสัดส่วนไม่ถึง 5% ของตลาดที่อยู่อาศัยทั้งหมด แต่ฐานภาษีของรัฐบาลก็จะแคบลง ส่วนบ้านหลังที่สองซึ่งประเมินว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 10% ของที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จะต้องเสียภาษีโดยไม่มีการยกเว้นใดๆ แน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
- พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศไทย ปี 2559-2563 โดยมีเป้าหมายที่จะให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชนให้ได้เพิ่มขึ้น 4-8% ช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นมากขึ้น สร้างสมดุลการพัฒนาทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยจะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนให้เกิดความยั่งยืน และดึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วมด้วย
- ธปท.เผยวันที่ 16 ก.ค.นี้จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้บริการ Any ID เล็งเปิดประมูลผู้ติดตั้งเครื่องรูดบัตรไม่เกิน 2 ราย ชี้ค่าธรรมเนียมระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไม่ควรแพง พบโยกเงินฝากลงทุนกองทุนรวมเพิ่ม คาดออกกฎคุม ระบุบาทแข็งเร็วช่วงนี้ยังเกาะกลุ่มภูมิภาค
- นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ปรับตัวแข็งค่าอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐเงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคที่ 0.7% รองจากริงกิตของมาเลเซียที่แข็งค่า 1.02% และรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่แข็งค่า 1.2% ส่วนค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 2%
*หุ้นเด่นวันนี้
- TFG-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน509,993,942 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.50 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งออกวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 ธ.ค. 2559 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 17 พ.ค. 2562
- TMT (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 13.30 บาท ภายใต้ภาพรวมผลการดำเนินงานของ TMT ทั้งปี 59 ที่ยังโดดเด่น รวมถึงเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในกลุ่มเหล็ก จากความสามารถในการทำกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นจากการบริหารจัดการ Stock ได้ดี ที่สำคัญ TMT เป็นหุ้นจ่ายปันผลเป็นประจำ 1 ครั้ง/ปี ณ ระดับราคาปัจจุบัน คาด Div.Yield สูงเกือบ 11.0% คาดเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน
- BWG (เคจีไอ) เป้า Consensus 2.62 บาท กกพ จะออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมฯ (50MW) ภายในเดือน ก.ค.นี้ เป็นไปตามที่คาดว่าหลังการปลดล๊อกอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนไทย (จับสลากโซลาร์สหกรณ์) จะทำให้ กกพ เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอื่นๆ ตามมา ด้านรูปแบบราคายังเป็น Sideway up ทดสอบแนวต้านแรกที่ 1.97 บาท หากผ่านได้คาดจะปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 2.14 บาท
- STEC (เคจีไอ) "ซื้อ"เป้า 30.50 บาท ผู้บริหารยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่งของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดประมูลโครงการภาครัฐอย่างน้อย 2.50 แสนล้านบาทใน 2H16 ซึ่ง STEC มั่นใจว่าบริษัทมีโอกาสสูงที่จะประมูลงานได้เพิ่มอีกประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท แม้เราจะปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2016 ลงเหลือ 1.10 พันล้านบาทจากความล่าช้าของโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ แต่ประเมินกำไรสุทธิในปี 2017 จะขยายตัวได้ถึง 12.4% เป็น1.2 พันล้านบาท จากการเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆ และอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง อันเป็นผลจากต้นทุนคงที่ที่ลดลง และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นและสถานะเงินสดสุทธิของบริษัท
- SYNTEC (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 3.70 บาท ปี 59 คาดกำไรปกติโต 11%YoY หนุนโดย Backlog ในมือ 9.8 พัน ลบ.ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 60 ขณะที่มีงานระหว่างประมูลอีก 19 โครงการ มูลค่า 1.15 หมื่น ลบ.ซึ่งคาดรู้ผลบางส่วนในเดือนนี้
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ รับประธานเฟดมองศก.สหรัฐเป็นบวก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ครั้งล่าสุดว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
ดัชนี MSCI Asia Pacific ทะยาน 0.4% สู่ระดับ 130.45 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.15 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,651.05 จุด เพิ่มขึ้น 71.02 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,936.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.18 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,218.96 จุด เพิ่มขึ้น 188.74 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,622.21 จุด เพิ่มขึ้น 25.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,993.08 จุด เพิ่มขึ้น 7.24 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,844.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.52 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,650.26 จุด เพิ่มขึ้น 1.27 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,645.35 จุด เพิ่มขึ้น 47.13 จุด
ทั้งนี้ นางเยลเลนได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุม "World Affairs Council of Philadelphia" เมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้ตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ก็ตาม
นอกจากนี้ ประธานเฟดยังกล่าวด้วยว่า เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม นางเยลเลนไม่ได้มีการระบุถึงกำหนดเวลาที่เฉพาะเจาะจงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่กล่าวเพียงว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะต้องเกิดขึ้น ก่อนที่มีการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้งหมดของเฟด
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : เงินปอนด์อ่อน หนุนฟุตซี่ปิดพุ่ง 63.77 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (6 มิ.ย.) จากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ หลังโพลล์บ่งชี้ว่า ฝ่ายที่หนุนให้อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) เริ่มมีคะแนนนำฝ่ายที่คัดค้านการแยกตัว
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 63.77 จุด หรือ 1.03% แตะที่ 6,273.40 จุด
เงินสกุลปอนด์อ่อนค่าลงหลังผลการสำรวจของ ICM ระบุว่า ฝ่ายที่รณรงค์ให้อังกฤษแยกตัวออกจาก EU กำลังได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าฝ่ายที่คัดค้านการถอนตัวออกจาก EU
ทั้งนี้ ผลการสำรวจผ่านระบบออนไลน์ของ ICM ในช่วงวันที่ 3 มิ.ย.-5 มิ.ย. แสดงว่า ผู้ลงคะแนนที่สนับสนุนให้อังกฤษแยกตัวออกจาก EU หรือ Brexit มีจำนวนมากกว่าผู้ที่คัดค้านการถอนตัวออกจาก EU ที่ระดับ 48% ต่อ 43%
อังกฤษจะจัดการทำประชามติเกี่ยวกับการแยกตัวจาก EU ในวันที่ 23 มิ.ย.
เหตุผลที่กลุ่มสนับสนุนการแยกตัวจากสหภาพยุโรปได้หยิบยกขึ้นมานั้น ได้แก่ประเด็นทางด้านกฎหมาย เพราะสหภาพยุโรปมีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาลประเทศสมาชิก ทำให้อังกฤษไม่สามารถออกกฎหมายที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรปได้ เพราะต้องยอมรับใน "อำนาจรัฐเหนือรัฐ" ส่งผลให้อังกฤษไม่สามารถคัดกรองคนในสหภาพยุโรปที่เดินทางเข้าประเทศ และจะออกกฎหมายมากีดกันก็ไม่ได้ เพราะขัดแย้งต่อนโยบายการเคลื่อนย้ายพลเมืองโดยเสรีในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งกระดานนำโดยหุ้นแองโกล อเมริกัน หุ้นริโอ ทินโต กรุ๊ป และหุ้นบีเอชพี บิลลิตันต่างก็เพิ่มขึ้น มากกว่า 6%
หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล คอนโซลิเดดเต็ด แอรืไลน์ส กรุ๊ป เอสเอ ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ส ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในบริษัทบริติช แอร์เวย์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นเหมืองแร่พุ่ง หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 มิ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของเยอรมนีร่วงลง 2% ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.3% ปิดที่ 342.41 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,423.38 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.04% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,121.08 จุด เพิ่มขึ้น 17.82 จุด หรือ +0.18% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 6,273.40 จุด เพิ่มขึ้น 63.77 จุด, +1.03%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกหลังจากหุ้นเหมืองแร่พุ่งขึ้น โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 11% หุ้นริโอทินโต ปรับขึ้น 6.4% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ทะยานขึ้น 6.3% และหุ้นเกลนคอร์พุ่งขึ้น 6.2%
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานในเดือนเม.ย. ร่วงลง 2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.6% สะท้อนให้เห็นว่า อุปสงค์จากประเทศต่างๆนอกกลุ่มยูโรโซนนั้น อ่อนแอลง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ ร่วงลง 1.3% หุ้นดอยช์แบงก์ ดิ่งลง 4.1% และหุ้นเครดิต อากริโคล ร่วงลง 2.6%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 113.27 จุด รับ เยลเลน มองศก.มุมบวก
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 มิ.ย.) หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ครั้งล่าสุดว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้ตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกว่า 2%
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,920.33 จุด พุ่งขึ้น 113.27 จุด หรือ +0.64% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,968.71 จุด เพิ่มขึ้น 26.19 จุด หรือ +0.53% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,109.41 จุด เพิ่มขึ้น 10.28 จุด หรือ +0.49%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นขานรับมุมมองเศรษฐกิจในด้านบวกจากประธานเฟด โดยนางเยลเลนได้การกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุม "World Affairs Council of Philadelphia" เมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้ตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ก็ตาม
"ดิฉันมองเห็นเหตุผลที่ดีที่จะคาดว่าปัจจัยบวกที่สนับสนุนการขยายตัวของการจ้างงานและการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ จะยังคงมีอิทธิพลเหนือปัจจัยลบ ซึ่งผลที่ตามมานั้น ดิฉันคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และจีดีพีมีการขยายตัวในระดับปานกลาง" นางเยลเลนกล่าว
นอกจากนี้ ประธานเฟดยังกล่าวด้วยว่า เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม นางเยลเลนไม่ได้มีการระบุถึงกำหนดเวลาที่เฉพาะเจาะจงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่กล่าวเพียงว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะต้องเกิดขึ้น ก่อนที่มีการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้งหมดของเฟด
การแสดงความเห็นของประธานเฟดเมื่อวานนี้ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่ต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี รวมทั้งเป็นการกล่าวแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดต่อสาธารณชนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 มิ.ย.
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% โดยหุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 10% นับเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นด้วย ขณะที่หุ้นดาวอน เอนเนอร์จี และหุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ พุ่งขึ้นกว่า 4.5%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบดีดตัวขึ้น โดยหุ้นฟรีพอร์ท แมค-มอแรน และหุ้นโมซาอิค พุ่งขึ้นอย่างน้อย 4.8% หุ้นซีเอฟ อินดัสเทรียลส์ โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 8.9%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพการผลิต-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้นไตรมาส 1/2559, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคส่งเดือนเม.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมิ.ย.
อินโฟเควสท์