- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 25 May 2016 11:10
- Hits: 1058
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวน์ตามภูมิภาค หลังยอดขายบ้านใหม่สหรัฐดีกว่าคาด-ราคาน้ำมันฟื้น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่ามีโอกาสรีบาวน์ขึ้นได้ตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นในแดนบวกทั้งหมด หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.แข็งแกร่งและดีกว่าที่ตลาดาดการณ์ไว้มาก ประกอบกับราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัวได้ หลังปรับตัวลดลงติดต่อกัน 4 วัน
โดยปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือตัวเลขการส่งออกของไทยที่จะมีการประกาศออกมาในวันนี้ และคืนวันศุกร์จะมีการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1/59 ของสหรัฐและคำแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะมีการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด
พร้อมให้แนวรับ 1,380 จุดบวก/ลบ ส่วนแนวต้าน 1,390-1,394 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 พ.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,706.05 จุด พุ่งขึ้น 213.12 จุด (+1.22%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,861.06 จุด เพิ่มขึ้น 95.28 จุด (+2.00%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,076.06 จุด เพิ่มขึ้น 28.02 จุด (+1.37%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 265.59 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 13.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 326.33 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 52.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 15.95 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 35.95 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.17 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 พ.ค.59) 1,384.26 เพิ่มขึ้น 2.57 จุด(+0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 382.25 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 พ.ค.59) ปิดที่ 48.62 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 พ.ค.59) ที่ 6.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.75/76 ทิศทางยังอ่อนค่ารอดูตัวเลขเศรษฐกิจ-ผลประชุมเฟด ลุ้นทดสอบ 35.80
- พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 2 โดยปรับลดกรอบวงเงินตามแผนบริหารหนี้จาก 1.74 ล้านล้านบาท เหลือ 1.67 ล้านล้านบาท หรือลดลง 6.81 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลจากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) 2 โครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ได้เปลี่ยนจากการกู้ไปเป็นการใช้งบประมาณรายปี และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ เปลี่ยนไปใช้วิธีการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (พีพีพี) จึงลดการก่อหนี้สาธารณะได้
- นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันถือว่ามีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง โดยไตรมาสแรกเติบโตได้ 3.2% แต่ในระยะต่อไป ยังมีปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัจจัยในต่างประเทศ อาทิ อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป เยอรมนีอาจถูกโดดเดี่ยวจากภาคียุโรป หรือเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง ส่วนในประเทศยังมีปัจจัยด้านการเมืองที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะต่อไป ขณะที่ภาครัฐต้องปรับตัวขับเคลื่อนประเทศ เปลี่ยนจากการกำกับดูแลมาสนับสนุน และปล่อยให้เป็นกลไกเสรีมากขึ้น
- ธปท.เผยธุรกรรมโอนเงินผ่านระบบบาทเนตในระบบมีปริมาณทั้งสิ้น 3.09 แสนล้านบาท มูลค่า 65.9 ล้านล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้น แต่มูลค่ากลับหดตัวลง ผลจากธุรกิจรายย่อยเริ่มสั่งจ่ายมากขึ้น แต่ยังไม่มากพอ พบธุรกรรมโอนเงินให้นักลงทุนต่างชาติมีมูลค่าสูงขึ้น 15.8%
- บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ครึ่งปีหลังยังคงทรงตัวในระดับสูง โดยคาดว่าแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้ทั้งปียอดปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น 4-6% เนื่องจากหลังจากเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกเติบโตดีเกินคาด จะทำให้สินเชื่อภาคธุรกิจฟื้นตัว ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการลงทุนระยะยาวของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ล้อไปโครงการลงทุนภาครัฐ ขณะที่สินเชื่อรายย่อย คาดว่าจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยในลูกค้าระดับกลาง บน ที่เป็นลูกค้าหลักของธนาคาร และสินเชื่อเช่าซื้อน่าจะดีขึ้น หลังผลกระทบจากโครงการรถคันแรกเริ่มลดลง และราคารถมือสองผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- THAI (ยูโอบี เคย์เฮียน) ได้รับผลบวกจากการท่องเที่ยวที่ยังแรงต่อเนื่องโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ต้นทุนลดลงจากการปฏิรูปองค์กรในปี 58 และการรับรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่ต่ำเต็มที่เมื่อเทียบกับปี 58 ที่ทำประกันราคาน้ำมันในระดับสูงที่ 80-90 เหรียญ/บาร์เรล นอกจากนี้ THAI จะมีการประชุมนักวิเคราะห์ในวันพรุ่งนี้ (26 พ.ค. 59) ซึ่งคาดว่ามีมีมุมมองเชิงบวกจากการประชุมดังกล่าว
- HANA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 35 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลงมา 25% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาสะท้อน 1Q59 ไปแล้ว ปัจจุบันมี PE เพียง 11.4 เท่า และให้ Dividend yield 6.6% โดยผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้วใน 1Q59 แต่ 2Q59 ยังถูกกระทบจากการที่ลูกค้าอยู่ในช่วงระบายสินค้าในสต็อก ก่อนจะกลับมา Restock อีกครั้งใน 2H59 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังการผลิตส่วนต่อขยายของสินค้า IC ของบริษัทเริ่มเดินเครื่อง รวมทั้งโรงงานที่กัมพูชา (มีลูกค้าแล้ว 2 ราย) น่าจะได้รับการรับรอง ISO ราว ก.ค. พร้อมปรับกำไรปกติปีนี้ลง 16% เป็น -6.5% Y-Y สะท้อนกำไร 1Q59 ที่อ่อนแอกว่าคาด
- RML (ฟันันเซีย ไซรัส) "ซื้อเก็งกำไร" เพราะราคาหุ้นที่ laggard ทำให้ PE ต่ำเพียง 6.5 เท่า ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มที่อยู่ที่ 9 เท่า RML มีแผนงานที่ชัดเจนขึ้นสำหรับคอนโดแบรนด์ใหม่คือ The Lofts ซึ่งการขาย The lofts ทั้ง 2 แห่งอยู่ในเกณฑ์ดีพอควร (เอกมัย ขายได้แล้ว 89% และอโศกขายได้ 30%) ขณะที่ Backlog ปัจจุบันรองรับเป้ารายได้ปีนี้ที่ 5 พันล้านบาท แล้วถึง 93% กรอบการเก็งกำไร โดยให้ PE 7-8 เท่า เท่ากับ SIRI คิดเป็นราคา 1.60-1.70 บาท ยังไม่แนะนำซื้อลงทุนเพราะภาพ Macro ไม่อำนวย และ Backlog ปีหน้ายังไม่สูง อยู่ที่ 2 พันล้านบาทเท่านั้น
- PTTGC (โกลเบล็ก) เป้า 71 บาท คาดกำไรปี 59 ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท +19%YoY จากค่าการกลั่นและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์มีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น พร้อมคาด Q2/59 มี Stock Gain จากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์มูลค่าราว 5.7 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐได้ข้อสรุปต้นปีหน้า
ตลาดหุ้นเอเชียทะยานขึ้นเช้านี้ ขานรับยอดขายบ้านสหรัฐแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากสหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 ปี
ดัชนี MSCI Asia Pacific ทะยาน 0.8% สู่ระดับ 125.95 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 16,764.35 จุด เพิ่มขึ้น 265.59 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,835.03 จุด เพิ่มขึ้น 13.36 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,156.76 จุด เพิ่มขึ้น 326.33 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,352.84 จุด เพิ่มขึ้น 52.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,953.63 จุด เพิ่มขึ้น 15.95 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,786.18 จุด เพิ่มขึ้น 35.95 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,630.01 จุด เพิ่มขึ้น 4.17 จุด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 16.6% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 619,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2551 ส่วนราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 321,100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 82.83 จุด หลังหุ้นธนาคารพุ่งแรง
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 82.83 จุด หรือ 1.35% แตะที่ 6,219.26 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งรวมถึง หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ กรุ๊ป และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป
หุ้นคิงฟิชเชอร์ดีดตัวขึ้น 1.9% หลังเปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส เพิ่มขึ้น 2% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์ส ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท
นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษที่ระบุต่อรัฐสภาอังกฤษว่า ตลาดหุ้นลอนดอนมีผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายในประเทศและการอ่อนค่าของเงินปอนด์
นักลงทุนยังคงจับตาดูการลงประชามติของอังกฤษ โดยล่าสุดผลการสำรวจของ ORB ที่มีการเปิดเผยในวันนี้ระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิลงประชามติ และสนับสนุนให้อังกฤษยังคงอยู่ในสหภาพยุโรป (EU) ต่อไป มีจำนวนคิดเป็นสัดส่วน 55% ขณะที่ผู้ที่สนับสนุนให้อังกฤษแยกตัวออกจาก EU มีจำนวน 42%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุเตือนว่า หากอังกฤษตัดสินใจออกจาก EU ในการลงประชามติวันที่ 23 มิ.ย. ก็จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ทำให้การว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น รวมทั้งทำให้ค่าเงินปอนด์ และมูลค่าสินทรัพย์ต่างๆทรุดตัวลง
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงซื้อหุ้นกลุ่มการเงิน หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 พ.ค.) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงิน และสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 2.2% ปิดที่ 344.12 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,431.52 จุด พุ่งขึ้น 106.42 จุด หรือ +2.46% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,057.31 จุด พุ่งขึ้น 215.02 จุด หรือ +2.18% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,219.26 จุด เพิ่มขึ้น 82.83 จุด หรือ +1.35%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงิน โดยหุ้นดอยช์แบงก์ทะยานขึ้น 2.6% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ปรับขึ้น 5.4% และหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ พุ่งขึ้น 2.7%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู พุ่งขึ้น 1.9% หุ้นโฟล์คสวาเกน ทะยานขึ้น 4% และหุ้นไฮเดนเบิร์ก ซีเมนต์ พุ่งขึ้น 2.6%
นักลงทุนจับตาดูการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน เพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการให้เงินกู้งวดใหม่แก่กรีซ ขณะที่ฝ่ายเจ้าหนี้ของกรีซยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิรูป และความสามารถในการใช้หนี้ของกรีซ
การประชุมดังกล่าวมีขึ้น 2 วัน หลังจากที่รัฐสภากรีซผ่านมาตรการรัดเข็มขัดรอบใหม่ ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษี และการตั้งกองทุนแปรรูปเป็นภาคเอกชน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของฝ่ายเจ้าหนี้
ทั้งนี้ กรีซกำลังเผชิญภาวะยากลำบาก ขณะที่กำลังต้องการเงินกู้งวดใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้จำนวนหลายพันล้านยูโรต่อธนาคารกลางยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศในเดือนมิ.ย. และก.ค.
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 213.12 จุด รับยอดขายบ้านสหรัฐทะยาน
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (24 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 ปี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มธนาคารและราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,706.05 จุด พุ่งขึ้น 213.12 จุด หรือ +1.22% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,861.06 จุด เพิ่มขึ้น 95.28 จุด หรือ +2.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,076.06 จุด เพิ่มขึ้น 28.02 จุด หรือ +1.37%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นขานรับยอดขายบ้านใหม่ที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 16.6% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 619,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2008 ส่วนราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 321,100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่มีความตึงตัว ซึ่งส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมัน WTI ที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากมีการคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีกในสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นและช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นด้วย โดยหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส หุ้นวีซา อิงค์ หุ้นเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ต่างก็ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล พุ่งขึ้นกว่า 1.8%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไมโคซอฟท์ คอร์ป และหุ้นอินเทล คอร์ป ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านพุ่งขึ้นขานรับยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นเคบี โฮม พุ่งขึ้น 7.5% หุ้นพัลทกรุ๊ป และหุ้นเลนนาร์ คอร์ป ต่างก็ทะยานขึ้นกว่า 3.8%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงดุลการค้าเดือนเม.ย., ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย., ประมาณการจีดีพีไตรมาส 1/2559 ครั้งที่ 2, การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อินโฟเควสท์