WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET14 copyภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้นรับ Sentiment ตปท.ดีขึ้น-ราคาน้ำมันฟื้น

       นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย)  กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นจาก Sentiment ต่างประเทศที่ดีขึ้น และราคาน้ำมันฟื้นตัว แต่อาจปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้อยู่ในแดนบวก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยอาจต้องเผชิญแรงขายของหุ้นกลุ่มแบงก์ถ่วง หลังจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะทำให้มีการปรับลดประมาณการกำไร และยังกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะแย่กว่าที่คาดไว้หรือไม่ นอกจากนี้จากการ Preview ผลประกอบการของกลุ่มแบงก์งวดไตรมาส 1/59 ก็ออกมาไม่ค่อยดี โดยเฉพาะจากที่คาดว่าตัวเลข NPL จะเพิ่มขึ้น

       อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ก็คงจะเป็นช่วงของการโฟกัสผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของทั่วโลก โดยมองไปที่ประมาณการของงวดไตรมาส 1/59 ในประเทศหลักๆ อีกทั้งให้ติดตาม outlook เศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ด้วย

พร้อมให้แนวรับ 1,360-1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,385 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 เม.ย.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,716.05 จุด พุ่งขึ้น 112.73 จุด (+0.64%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,920.72 จุด เพิ่มขึ้น 76.79 จุด (+1.59%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,066.66 จุด เพิ่มขึ้น 21.49 จุด (+1.05%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 7.75 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 91.15 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 6.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 9.95 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 23.81 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.43 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 23.90 จุด

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 เม.ย.59) 1,373.59 จุด ลดลง 26.68 จุด (-1.91%)

      - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,777.75 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 เม.ย.59

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 เม.ย.59) ปิดที่ 37.75 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.86 ดอลลาร์ หรือ 5.2%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 เม.ย.59) ที่ 5.12 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 35.21/23 แข็งค่าจากดอลล์อ่อน หลังเฟดส่งสัญญาณยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

       - แหล่งข่าวจากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การตรวจสอบเส้นทางฟอกเงินด้วยการหลบเลี่ยงภาษีออกจากไทยไปต่างประเทศทำได้ไม่ยาก หากเป็นการโอนเงินอย่างเปิดเผยผ่านธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินในประเทศไปซื้อกิจการหรือลงทุนในต่างประเทศ กรณีทำธุรกรรมเกิน 2 ล้านบาท ก็ต้องรายงานต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่หากนำเงินออกไปด้วยวิธีการอื่น เช่น ถือเงินสดออกไปก็ไม่มีทางติดตามได้

      - กสทช.เข้าทำเนียบแจง 'วิษณุ' 8 เม.ย. ดันใช้ ม.44 รองรับข้อเสนอเอไอเอสจ่าย 7.6 หมื่นล้าน แลกใบอนุญาต 4จี คลื่น 900 บทวิเคราะห์ชี้ส่งผลดีต่อรัฐบาล-ผู้ใช้บริการ 'ทีดีอาร์ไอ' หนุนเป็นประโยชน์สาธารณะ 3 ด้าน แนะถามความเห็นค่ายมือถืออื่นด้วย

     - กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ต่อปี สาเหตุหนึ่งจากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ 0.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้ อีกทั้งมองต้นทุนระดมทุนของภาคธุรกิจยังอยู่ระดับต่ำเทียบค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการเงินยังอยู่ระดับผ่อนปรน

      - แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายปี 2559 ช่วง 6 เดือนแรก ตั้งแต่เดือน ต.ค.58-มี.ค.59 งบรายจ่ายรวม 2.72 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายได้ 1.35 ล้านล้านบาท หรือเพียง 49.8% การเบิกจ่ายดังกล่าวน้อยกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีงบประมาณที่ผ่านมาที่เบิกจ่ายได้ 50.8%

     - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะการขยายตัวของสินเชื่อและเงินฝากในระบบสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าเงินฝากขยายตัวเร็วกว่าสินเชื่อ โดยเงินฝากขยายตัว 5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน มียอดคงค้างอยู่ที่ 17.48 ล้านล้านบาท และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนสินเชื่อขยายตัว 4.8% มียอดคงค้างอยู่ที่ 16.12 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าดูเฉพาะส่วนต่างของสินเชื่อกับเงินฝากจะเห็นว่ามีเงินสภาพคล่องส่วนเกินเหลือ 1.37 ล้านล้านบาท

     - นายมาซายาสุ โฮซูมิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) กล่าวว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยนับว่าโชคดี เพราะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากภาคท่องเที่ยวไทยคิดเป็นกว่า 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และยังจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตลาดนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น ถือเป็นตลาดสำคัญของเมืองไทย ที่จะเข้ามาเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วัดได้จากจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีในเมืองไทยรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 2.4 พันแห่ง ตามกระแสคนญี่ปุ่นนิยมเที่ยวไทย อีกทั้งยังเกิดการลงทุนด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ ระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น

*หุ้นเด่นวันนี้

    - BBL (โกลเบล็ก) แนะ"ซื้อ"เป้า 194 บาท คาดกำไร 1Q59 ลดลง 25%YoY และ 9%QoQ แต่ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวของธนาคารยังดีจากการเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี กระแสข่าวการเพิ่มขึ้นของ NPL และปัญหาของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ในธุรกิจดิจิตอลทีวีและโทรคมนาคมส่งผลเชิงลบด้านจิตวิทยากดดันราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร ทั้งนี้ ธนาคารประกาศจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีก  4.50 บาท (รวมจ่ายทั้งปี 6.5 บาท) XD 21 เม.ย.วันจ่าย 11 พ.ค.

      - PTTEP (ซีไอเอ็มบี) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 94 บาท หลังราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนนี้พุ่งขึ้นแรง 1.86 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ +5.2% ปิดที่ 37.75 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจาก EIA เปิดเผยสต๊อกน้ำมันดิบออกมาลดลง 4.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 529.9 ล้านบาร์เรล ดีกว่าที่ตลาดคาด โดยเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะอยู่ในขาขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้สมมติฐานที่กำไรเติบโตในอนาคต โครงสร้างต้นทุนลดลง ราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้นและปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นจากโครงการ LNG

       - STA (ยูโอบี เคย์เฮียน) เป้า 14 บาท ราคายางโลกเข้าสู่ช่วงร้อนแรงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน กำไรมี correlation เชื่อมโยงกับราคายางมากถึง 80% จึงได้ผลบวกอย่างสูง และตั้งแต่เดือน มี.ค.59 ประเทศไทยจะจับมืออินโดนีเซียลดการผลิตและส่งออกยางจนถึง ส.ค.59 ซึ่ง 3 ประเทศ(รวมมาเลเซีย)มียอดผลิตยางพารารวมเกือบ 70% ของผลผลิตยางพาราทั้งโลก ดังนั้น การจับมือกันควบคุมปริมาณการผลิตจะมีผลให้ราคายางพาราปรับขึ้นต่อตั้งแต่เดือน เม.ย.59 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 2 หลายพื้นที่ในประเทศไทยเข้าสู่ช่วงยางผลัดใบ ทำให้ปริมาณ supply ยางพาราลดลงและหนุนราคายางพาราขึ้น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นเช้านี้ รับรายงานประชุมเฟดส่งสัญญาณไม่รีบขึ้นดบ.

      ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกถ้วนหน้าในวันนี้ ขานรับรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งสัญญาณว่า เฟดยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในเอเชียยังได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมัน

      ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ปรับขึ้น 0.6% เมื่อเวลา 10.10 น.ตามเวลาโตเกียวในวันนี้

      ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,058.34 จุด เพิ่มขึ้น 7.75 จุด, +0.25% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 20,297.82 จุด เพิ่มขึ้น 91.15 จุด, +0.45% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดที่ 1,717.74 จุด เพิ่มขึ้น 0.73 จุด, +0.04% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดที่ 2,817.80 จุด เพิ่มขึ้น 6.55 จุด, +0.23% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดที่ 8,523.25 จุด เพิ่มขึ้น 9.95 จุด, +0.12%

     ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,204.36 จุด เพิ่มขึ้น 23.81 จุด, +0.33% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดที่ 1,978.75 จุด เพิ่มขึ้น 7.43 จุด, +0.38% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 15,739.26 จุด เพิ่มขึ้น 23.90 จุด, +0.15%

       ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดปรับตัวขึ้น ขานรับรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 15-16 มี.ค.ซึ่งระบุว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และยังได้แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นับเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้

       นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 5% เมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. ร่วงลง 4.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 529.9 บาร์เรล

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : หุ้นกลุ่มเหมืองแร่หนุนฟุตซี่ปิดพุ่ง 70.40 จุด

      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

      ดัชนี FTSE 100 ปิดดีดตัวขึ้น 70.40 จุด หรือ 1.16% ที่ระดับ 6,161.63 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการทำประชามติเพื่อถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรในเดือนมิ.ย.นี้

     นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ต่างก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1.6%

      ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นบาร์เคลย์ส และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ต่างก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5%

       หุ้นไชร์เพิ่มขึ้น 2.7% หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า บริษัทอาจจะตกเป็นเป้าหมายของการซื้อกิจการ หลังจากกฎข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับด้านภาษีของสหรัฐส่งผลให้การทำข้อตกลงระหว่างบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และบริษัทอัลเลอร์แกน ล้มเหลว

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับข่าวไฟเซอร์ฉีกข้อตกลงควบอัลเลอร์แกน

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่า บริษัทไฟเซอร์ ได้ยุติข้อตกลงการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน

     ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.8% ปิดที่ 330.65 จุด

     ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,284.64 จุด เพิ่มขึ้น 34.36 จุด หรือ +0.81% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,624.51 จุด เพิ่มขึ้น 61.15 จุด หรือ +0.64% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,161.63 จุด เพิ่มขึ้น 70.40 จุด หรือ +1.16%

     ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ โดยหุ้นแอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 4.5% หุ้นไชร์ พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ทะยานขึ้น 3.5%

   ปัจจัยที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์พุ่งขึ้นนั้น มาจากข่าวที่ว่า ไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ได้ยุติข้อตกลงการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์ โดยคาดว่าเป็นผลจากการที่สหรัฐเพิ่งประกาศระเบียบการใหม่เพื่อจัดการกับกรณีการควบรวมกิจการเพื่อเลี่ยงภาษี

    เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ไฟเซอร์ และอัลเลอร์แกน ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงควบรวมกิจการมูลค่า 1.60 แสนล้านดอลลาร์ในการก่อตั้งบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นข้อตกลงควบรวมกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในธุรกิจเวชภัณฑ์

     อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อตกลงนี้มีมูลค่ามหาศาล ทั้งสองบริษัทจึงถูกเพ่งเล็งพิเศษ โดยเมื่อไม่นานมานี้ทางการสหรัฐได้ประกาศระเบียบการใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยประกาศไปแล้วเมื่อปี 2557 เพื่อจัดการกับกรณีที่มีบริษัทจงใจย้ายสถานที่ตั้งของบริษัทไปยังประเทศอื่นที่เรียกเก็บภาษีต่ำกว่า เพื่อเลี่ยงการเก็บภาษีของสหรัฐ

    นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. ร่วงลง 4.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 112.73 จุด รับเฟดส่งสัญญาณยังไม่ขึ้นดบ.

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) ขานรับรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เฟดยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นกว่า 5% โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,716.05 จุด พุ่งขึ้น 112.73 จุด หรือ +0.64% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,920.72 จุด เพิ่มขึ้น 76.79 จุด หรือ +1.59% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,066.66 จุด เพิ่มขึ้น 21.49 จุด หรือ +1.05%

     ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนบวกตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ ขานรับรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 15-16 มี.ค.ซึ่งระบุว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และยังได้แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เฟดจำนวนหนึ่งสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนที่ได้แสดงท่าทีระมัดระวังในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

      ความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันในรายงานการประชุมดังกล่าวนั้น สะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้

      นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 5% เมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. ร่วงลง 4.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 529.9 บาร์เรล

      การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 5.9% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ปรับขึ้น 8.8% หุ้นอาปาเช คอร์ป ทะยานขึ้น 5.1% หุ้นเฮสส์ คอร์ป พุ่งขึ้น 5.4%

      หุ้นไฟเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากมีรายงานว่า ไฟเซอร์ ได้ยุติข้อตกลงในการควบรวมกิจการกับอัลเลอร์แกน พีแอลซี บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์จากไอร์แลนด์

      ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเวอร์เท็กซ์ ฟาร์มาซูติคัลส์ พุ่งขึ้น 8.5% หุ้นเมิร์ก แอนด์ โค ปรับขึ้น 2.6% หุ้นแอมเจน อิงค์ และหุ้นเซลจีน คอร์ป ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 4.4%

      นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.พ.

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!