WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET24ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้าลุ้นขึ้น รับอานิสงส์จาก Flow ไหลเข้า-งบฯดีให้ปันผลมาก

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น เนื่องจากน่าจะได้รับอานิสงส์จาก Fund Flow ที่ไหลเข้า จากที่นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมหุ้นไทย และยังมีแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีการจ่ายเงินปันผลได้มาก ขณะที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงไปมาก และกำไรที่ออกมาไม่ได้แย่ลงด้วย ทำให้สัญญาณทางเทคนิคดูดี

    ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็เคลื่อนไหวตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ โดยทางสหรัฐฯได้รายงานสต็อคน้ำมันลดลง ทำให้เป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบ ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นฮ่องกงที่อ่อนตัวลง เนื่องจากทางจีนได้มีการยืดหยุ่นให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเล็กน้อย นอกจากนี้ให้ติดตามศุกร์นี้ทางสหรัฐฯจะมีการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 4/58 ซึ่งก็เป็นตัวบอกทิศทางการปรับตัวอัตราดอกเบี้ยด้วย

พร้อมให้แนวรับ 1,320 จุด ส่วนแนวต้าน 1,340-1,350 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 ก.พ.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,484.99 จุด เพิ่มขึ้น 53.21 จุด (+0.32%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,542.61 จุด เพิ่มขึ้น 39.02 จุด (+0.87%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,929.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.53 จุด (+0.44%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 67.68 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 23.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 21.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 20.02 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเพิ่มขึ้น 0.80 จุด

                ด้านตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันรำลึกถึงการปฏิวัติพลังประชาชน

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 ก.พ.59) 1,331.93 จุด เพิ่มขึ้น 6.14 จุด (+0.46%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,368.39 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.พ.59

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 ก.พ.59) ปิดที่ 32.15 ดอลลาร์/บาร์เรล บวก 28 เซนต์ หรือ 0.9%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 ก.พ.59) ที่ 6.17 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 35.67 แข็งค่าตามภูมิภาค มองกรอบวันนี้ 35.63-35.75

                - นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดวัสดุก่อสร้างในประเทศปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้น 3-4% เนื่องจากกำลังซื่อของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมไปถึงการเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ ซึ่งจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จากปีก่อนตลาดวัสดุก่อสร้างมีมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท หดตัวจากปีก่อนหน้า 3% สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อในตลาดต่างจังหวัดซบเซาเป็นอย่างมาก

                - รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือน ม.ค.59 จะยังคงติดลบต่อเนื่องจากปี 58 เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดหลักๆ เศรษฐกิจชะลอตัว และหลายประเทศหันมาส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้กำลังซื้อของประเทศผู้ส่งอออกน้ำมันรายได้ลดลง จึงนำเข้าสินค้าลดลง

                - ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Hugh Thaweesak Koanantakool ตั้งข้อสังเกตถึงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการกำกับดูแลอัตราค่าบริการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ว่ามีการคิดค่าบริการที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับอัตราค่าบริการข้อมูล (ดาต้า) ของโทรศัพท์มือถือ 4G ที่ กสทช.กำหนดว่าต้องไม่สูงกว่าค่าบริการข้อมูลของมือถือ 3G หรือ 0.26 บาท/MB

                - สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 จัดเก็บได้ 7.42 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 5.43 หมื่นล้านบาท หรือ 7.9% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.1% โดยการนำส่งรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 5.72 หมื่นล้านบาท การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกว่า 3,680 ล้านบาท และภาษีสรรพสามิตรถยนต์เก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3,680 ล้านบาท

                - ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์สอินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเปิดให้บริการในเดือน ส.ค.59 นี้ แต่ระบบระหว่างสถานีเตาปูนไปยังสถานีบางซื่อยังไม่สมบูรณ์ต้องรออีกประมาณ 15 เดือน ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะยังชะลอตัวต่อเนื่อง จากที่คาดว่าหลังรถไฟฟ้าเปิดให้บริการการตลาดจะดูดซับได้เร็วขึ้น โดยปัจจุบันคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงเปิดขายอยู่ 1.45 หมื่นยูนิต ขายได้แล้วประมาณ 70% ยังเหลือขายอยู่อีกกว่า 4,000 ยูนิต

                - PwC เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก-รายได้ปีนี้อยู่ที่ 39% จากปีก่อน 49% เผยกังวลความไม่สงบทางการเมือง-ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ด้านความน่าลงทุนไทยยังติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาอาเซียน แนะเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการศึกษา

                - เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คาดปีนี้ธุรกิจประกันภัยจะมีเบี้ยรับรวม 8.01 แสนล้านบาท เติบโต 8.02% แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิต 5.8 แสนล้านบาท เติบโต 9.55% เบี้ยประกันวินาศภัย 2.17 แสนล้านบาท เติบโต 4.12%

                - สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างประกาศกฎกระทรวงการคลังลดหย่อนภาษีให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟ ได้ถึงปี 2562 โดยให้นำรายจ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมา หักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี โดยต้องถือหน่วยลงทุนเป็นเวลา 7 รอบปีบัญชี

*หุ้นเด่นวันนี้

                - TU (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 23 บาท กำไรสุทธิ 4Q58 ที่ 757 ล้านบาท อ่อนตัว 53%QoQ หากหักรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสนี้จะมีกำไรปกติ 1,613 ล้านบาทดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ธุรกิจทูน่ามีแนวโน้มอ่อนตัวลงตามฤดูกาล แต่ธุรกิจอื่นๆ ยังแกร่งมาช่วยหนุน ระยะยาวผู้บริหารยังคงเป้าจะทำให้ยอดขายเติบโตไปถึง 8 พันล้านเหรียญฯในปี 63 โดยปรับประมาณการกำไรขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้บริษัทยังจ่ายปันผลอีก 0.31 บาท คิดเป็น DY ราว 1.6%

                - BBL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 195 บาท ราคา laggard กลุ่มเพราะกังวลต่อการค้ำประกันค่าใบอนุญาตไทยทีวีและ CTH และอาจค้ำประกันให้กับผู้ประมูล 4G เราพบว่าหากรวมความเสี่ยงทั้งหมดแล้วจะส่งผลต่อมูลค่าทางบัญชีให้ลดเหลือ 160 บาท จาก 195 บาท ซึ่งราคาหุ้นได้สะท้อนไปแล้ว ขณะที่การการันตีกลุ่ม JAS น่าจะเป็นการร่วมกับหลายธนาคาร ความเสี่ยงจึงจำกัดลง ส่วนธุรกิจทีวีดิจิตอล คาดว่าสำรองส่วนเกินที่มีอยู่ 5 หมื่นล้านบาทน่าจะนำมาใช้รองรับได้

                - NCL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.70 บาท ความน่าสนใจอยู่ที่การ Turnaround จากขาดทุนใน 9M15 คาดว่าจะเสมอตัวใน 4Q15 และเริ่มกำไรตั้งแต่ 1Q16 คาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 46 ล้านบาทจากรายได้ที่โตตามอุตสาหกรรม และต้นทุนลดลงจากการซื้อตู้คอนเทนเนอร์ไว้ใช้เองซึ่งถูกกว่าการเช่าในปัจจุบัน เสริมด้วยบ.ย่อยในสิงคโปร์ที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว แม้คู่แข่งจะมีมากแต่มูลค่าตลาดที่ใหญ่กว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรง โอกาสเติบโตจึงยังเปิดกว้าง

                - PTT (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 307 บาท กบง.คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ณ เดือน ก.พ.59 ยังคงราคาอยู่ที่ 13.50 บาท/กิโลกรัม แม้ กบง.จะคงราคาขาย NGV แต่ต้นทุนปรับตัวลงจนอยู่ใกล้เคียงกับราคาขายทำให้ทาง PTT แบกรับภาระขาดทุนลดลง ซึ่งจะช่วยลดผลขาดทุนได้ราว 1 พันล้านบาท

                - AAV (ไอร่า) เป้า 6.70 บาท คาดรับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญต่อสายการบินราคาประหยัดที่มีระยะทางบินจำกัด และราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ทำให้ AAV ลดสัดส่วนการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันในปี 59 โดยเฉลี่ยเหลือเพียง 24% จากที่สูงถึง 50% ในปี 58 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยเชื้อเพลิงของ AAV ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเราคาดว่าปัจจัยความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้นในปี 59 ค่อนข้างต่ำ

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 95.13 จุด จากแรงเทขายหุ้นเหมืองแร่

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.พ.) จากแรงเทขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือครองทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยแทน

    ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลดลง 95.13 จุด หรือ 1.60% ที่ 5,867.18 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน และหุ้นเกลนคอร์ ที่ปรับตัวลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกัน

     หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ลดลง 3.2% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2555 หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของธนาคาร

     หุ้นแมน กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 7.4% เนื่องจากบริษัทมีกำไรลดลง

     หุ้นเพอร์ซิมมอน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ดีดตัวขึ้น 2.3% หลังจากบริษัทยูบีเอส เอจี แนะนำให้ซื้อหุ้นของบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นพลังงานร่วง ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.พ.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาลงของราคาน้ำมัน

   ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2.3% ปิดที่ 320.23 จุด

    ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,155.34 จุด ลดลง 83.08 จุด หรือ -1.96% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,167.80 จุด ลดลง 248.97 จุด หรือ -2.64% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,867.18 จุด ลดลง 95.13 จุด หรือ -1.60%

     หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นโททาล ดิ่งลง 1.7% หุ้นสแตทออยล์ ร่งลง 5.2% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับลง 1.6%

     หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 8.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ ขณะที่หุ้นแองโกล อเมริกัน และหุ้นเกลนคอร์ ต่างก็ร่วงลงราว 10%

   ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ขยายตัวเพียง 0.3% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการเบื้องต้น

    นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะดำเนินการมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ในวันที่ 10 มี.ค. หลังการเปิดเผยตัวเลขความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีที่ลดลงมากเกินคาด

   สถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ผู้บริหารภาคธุรกิจของเยอรมนีมีความเชื่อมั่นลดลงในเดือนก.พ.เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน

  ทั้งนี้  Ifo เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวลงสู่ระดับ 105.7 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 หลังแตะ 107.3 ในเดือนม.ค.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 53.21 จุด ขานรับราคาน้ำมันฟื้นตัว

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ก.พ.) เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยการฟื้นตัวขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,484.99 จุด เพิ่มขึ้น 53.21 จุด หรือ +0.32% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,542.61 จุด เพิ่มขึ้น 39.02 จุด หรือ +0.87% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,929.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.53 จุด หรือ +0.44%

     ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงหลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่นาน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตราคาพลังงาน หลังจากซาอุดิอาระเบียออกมาส่งสัญญาณว่ายังไม่มีแผนปรับลดกำลังการผลิต ประกอบกับสำนักงานพลังงานสากลเปิดเผยรายงานคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำ

    อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา และปิดตลาดในแดนบวก หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวขึ้น อันเนื่องมาจากรายงานล่าสุดของ EIA ที่ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ก.พ. ปรับตัวลง 33,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.1 ล้านบาร์เรล/วัน

    การฟื้นตัวขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 23% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่หุ้นวาเลโร เอนเนอร์จี ปรับขึ้น 4.6% และหุ้นเทโซโร คอร์ป พุ่งขึ้นกว่า 4.5% แต่หุ้นทรานส์โอเชียนร่วงลง 4% หลังจากบริษัทเอสโซ่ เอ็กซ์พลอเรชัน แองโกลา ลิมิเต็ด ได้ประกาศยุติสัญญาการขุดเจาะน้ำมันกับทรานส์โอเชียนก่อนกำหนด

   หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 1.34% และหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.49%

  อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยมาร์กิต อีโคโนมิคส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นสำหรับภาคบริการของสหรัฐ ชะลอตัวสู่ระดับ 49.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี

      ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 9.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 494,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2015

     ทั้งนี้ ข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแรงลงของสหรัฐได้ฉุดหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงด้วย โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 5.4% หุ้นริโอ ทินโต ดิ่งลง 3.6%

      หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 2.74% และหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ดิ่งลง 1.84% หลังจากเครดิต สวิส ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นฟอร์ดและจีเอ็ม

    นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการจีดีพีครั้งที่ 2 ประจำไตรมาส 4/2558ข้อมูลรายได้-การบริโภคส่วนบุคคลเดือนม.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!