- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 09 November 2015 10:00
- Hits: 3231
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้าอ่อนลงตามภูมิภาค วิตกเฟดขึ้นดบ.,จ้างงานสหรัฐฯดีกว่าคาด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะอ่อนตัวลง เนื่องจากตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะอ่อนตัวลง ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่น ภายหลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯออกมาสูงกว่าคาดมากถึง 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. จากที่ตลาดคาดว่าจะมี 85,000 ตำแหน่ง ทำให้วิตกถึงธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ก็ให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ดังนั้นก็น่าจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ซึ่งก็จะเป็นผลลบต่อ Emerging Market และตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี ก็ต้องรอดูว่าจะมี Flow ขายออกมาหรือไม่ ซึ่งตลาดฯก็ยังเรื่องที่ต้องติดตามในการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดไม่ปรับตัวลงไปมากก็ได้ และรอดูถ้อยแถลงของประธานเฟดในสาขาต่าง ๆ อีกด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,405 จุด ส่วนแนวต้าน 1,425-1,427 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(6 พ.ย.58)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,910.33 จุด เพิ่มขึ้น 46.90 จุด(+0.26%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,147.12 จุด ปรับขึ้น 19.38 จุด(+0.38%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,099.20 จุด ลดลง 0.73 จุด(-0.03%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 145.91 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 1.53 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 113.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 9.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 2.48 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.33 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 1.82 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(6 พ.ย.58)1,414.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.38 จุด(+0.10%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,231.32 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 พ.ย.58
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(6 พ.ย.58) ปิดที่ 44.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับลง 91 เซนต์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(6 พ.ย.58)ที่ 7.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.85/87 อ่อนค่าตามภูมิภาค หลังตัวเลขศก.สหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด
- นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 4% ภายใต้สมมติฐานว่าเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.6% ซึ่งจะทำให้การส่งออกฟื้นตัวเป็นบวก ขณะที่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น มอเตอร์เวย์ ทางรถไฟ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- สนข.เตรียมจ้างที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง เชื่อมทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ กับดอนเมืองโทลล์เวย์ ลดปัญหาจราจรบนพื้นราบ วางแนวจากบางซื่อ-ประชาชื่น-รัชวิภา พร้อมวิเคราะห์ข้อกฎหมายเลือกผู้ลงทุนระหว่าง BECL กับ โทลล์เวย์ เผยตั้งงบ 59 จำนวน 30 ล้านบาท เป้าหมายเชื่อมทางด่วนหลัก 2 สาย แนวออก-ตก และเหนือ-ใต้ ของกรุงเทพฯ
- ผู้นำอาเซียนนัดประกาศเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) พร้อมวางอนาคตอาเซียน 10 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น "อภิรดี" เผยต่อไปเน้นแก้อุปสรรคทางการค้า มาตรการกีดกัน เปิดเสรีภาคบริการ เล็งถกค่าโรมมิ่งในอาเซียนเป็นอัตราเดียวกันเพื่อหนุนการค้า จับตาผู้นำรัฐมนตรีอาเซียนพบนักลงทุนนานาชาติ สร้างความเชื่อมั่น และหารือคู่เจรจารวม 8 ประเทศ
- นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธุรกิจสถาบันการเงินต่อกระทรวงการคลังแล้ว โดยมีการเพิ่มเติมอำนาจในการกำกับดูแลธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี โดยมีหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านธรรมาภิบาล การดำรงเงินกองทุน สินทรัพย์สภาพคล่อง การดูแลลูกค้ารายใหญ่ และด้านบัญชีและการเปิดเผยข้อมูล
*หุ้นเด่นวันนี้
- ADVANC(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้าปีหน้า 310 บาท ควรสะท้อนพื้นฐานดีกว่านี้หลังการประมูล 4G พุธนี้ นายกฯและกสทช.ยืนยันเดินหน้าการประมูล
- LPN (โกลเบล็ก)เป้า 23 บาท กำไร 3Q58 เติบโตสูงทั้ง YoY และ QoQ 9M58 มีกำไรสุทธิ 2.1 พันล้านบาท +16% YoY โดยปลาย 3Q58 มี backlog 1.4 หมื่นล้านบาทส่วนที่จะโอนใน 4Q58 เท่ากับ 2.7 พันล้านบาท โดยจะเริ่มโอนโครงการลุมพินีทาวน์ชิป รังสิต เฟส 1 มูลค่ารวม 2.4 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 84% พร้อมคงประมาณการกำไรปี 58 ตามเดิมซึ่งเติบโต 34%YoY โดยคาดกำไร 4Q58 มีแนวโน้มแผ่วลงจาก 3Q58 อีกทั้งคาดกำไรปี 59 จะพลิกกลับมาเติบโตราว 15% จากปี 58
- SYNTEC (ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 3.87 บาท คาดว่าปีหน้ากำไรจะเติบโตสูงถึง 33% ปัจจุบันยังซื้อขายที่ P/E ไม่แพง โดยบริษัทได้ประโยชน์จากงานในมือที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทมีลูกค้าประเภทอาคารสูงที่ใช้บริการประจำ และส่วนใหญ่อยู่ในตลาดฯจึงมีความมั่นคง โดยทางเทคนิคมีสัญญาณซื้อเข้ามาในระยะสั้น ประเมินแนวต้านที่ 3.44 บาท ในขณะที่แนวรับอยู่ที่ 3.12 หากยังไม่หลุดต่ำกว่าแนวโน้มยังเป็นบวก
- CENTEL (ดีบีเอส วิคเคอร์ส)เป้า 46 บาท เป็นหุ้นที่เป็นไปตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่กำลังเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็ได้แก้ปัญหาธุรกิจอาหารที่กำลังซื้อชะลอลง ด้วยการปิดสาขาที่ไม่กำไรยังผลให้ธุรกิจนี้มีความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ลดลงเช้านี้ เหตุวิตกยอดส่งออกจีนหดตัว
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังสหรัฐเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.ที่พุ่งขึ้นมากเกินคาด ซึ่งหนุนความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ยอดส่งออกของจีนหดตัวลงในเดือนต.ค. ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากเงินเยนอ่อนค่า
ดัชนี MSCI Asia Pacific ไม่รวมญี่ปุ่น ร่วงลง 0.7% แตะ 420.57 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น.ตามเวลาโตเกียว
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,411.51 จุด เพิ่มขึ้น 145.91 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,588.50 จุด ลดลง 1.53 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,753.51 จุด ลดลง 113.82 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,702.67 จุด เพิ่มขึ้น 9.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,038.59 จุด ลดลง 2.48 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,014.80 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,683.88 จุด ลดลง 1.82 จุด
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 จาก 5.1% ในเดือนก.ย.
ด้านสำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของจีนหดตัวลง 3.6% แตะ 1.23 ล้านล้านหยวนในเดือนต.ค. ขณะที่ยอดนำเข้าเดือนต.ค.ร่วงลง 16% สู่ระดับ 8.3314 แสนล้านหยวน ส่วนยอดเกินดุลการค้าพุ่งขึ้น 40.2% อยู่ที่ 3.9322 แสนล้านหยวน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : หุ้นกลุ่มเหมืองฉุดฟุตซี่ปิดลบ 11.07 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มเหมือง หลังจากข้อมูลจ้างงานสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาดได้ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 11.07 จุด หรือ 0.17% ที่ 6,353.83 จุด
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ดีเกินคาดได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 จาก 5.1% ในเดือนก.ย.
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 5.0%
ดอลลาร์ที่ปร้บตัวขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีการซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ เนื่องจากจะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ที่ถือเงินสกุลอื่นๆ
หุ้นกลุ่มเหมืองนำตลาดร่วงลง โดยหุ้นเกลนคอร์ รูดลง 4.7%, หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอร์เซส ปรับลง 3.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 1.7%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก เหตุยูโรอ่อนหลังจ้างงานสหรัฐสดใส
ตลาดหุ้นยุโรปปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาด
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 1.19 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 379.95 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส บวก 4.11 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 4,984.15 จุด ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี ปรับขึ้น 100.29 จุด หรือ 0.92% ปิดที่ 10,988.03 จุด และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ลดลง 110.07 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 6,353.83 จุด
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วในเดือนหน้า หลังจากมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐมีความแข็งแกร่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 จาก 5.1% ในเดือนก.ย.
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 5.0%
เงินยูโรที่ปรับตัวลงมีแนวโน้มจะส่งผลดีต่อสินค้าที่ผลิตในภูมิภาค เนื่องจากจะทำให้สินค้าส่งออกมีราคาถูกลงสำหรับลูกค้าต่างชาติที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
หุ้นบีเอ็มดับบลิว ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี ดีดขึ้น 3.5% ขณะที่หุ้นเดมเลอร์ ปรับขึ้น 2.2% ที่ตลาดหุ้นเยอรมนี
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 46.90 จุด หลังข้อมูลจ้างงานดีเกินคาด
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (6 พ.ย.) ขณะที่ดัชนีที่สำคัญอื่นๆปรับตัวขึ้นลงแตกต่างกัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.ที่พุ่งขึ้นมากเกินคาด ซึ่งช่วยสนับสนุนความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 46.90 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 17,910.33 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับลง 0.73 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 2,099.20 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับขึ้น 19.38 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 5,147.12 จุด
ดาวโจนส์ปิดในแดนบวกหลังจากที่ร่วงลงในช่วงเปิดตลาด เนื่องจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 จาก 5.1% ในเดือนก.ย.
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 5.0%
นักลงทุนมองว่าข้อมูลจ้างงานล่าสุดทำให้ได้ข้อสรุปว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ ถ้าหากไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆมาหักล้างตัวเลขจ้างงานล่าสุด
ทางด้านนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด สาขาชิคาโก กล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐในเดือนต.ค.ถือเป็นตัวเลขที่ดี และถือเป็นข่าวดีที่จะสนับสนุนมุมมองของเขาสำหรับปี 2559
อย่างไรก็ดี เขาระบุว่า ยังคงมีความไม่แน่นอนที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถปรับตัวกลับไปอยู่ที่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้หรือไม่
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารได้ช่วยหนุนดาวโจนส์ให้ดีดขึ้นมาอยู่ในแดนบวก ขณะที่หุ้นกลุ่มนี้ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากนักลงทุนมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้กำไรของภาคธนาคารเพิ่มขึ้นด้วย โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ทะยานขึ้น 4.5%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดขึ้น 3.7 % และหุ้นเจพี มอร์แกน เชส ปรับขึ้น 3%
อินโฟเควสท์