WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET53ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้ารีบาวด์ในกรอบจำกัดรับแรงหนุนตปท.แต่ปัจจัยในปท.ยังกดดัน

    นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี โอเอสเค(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากตลาดต่างประเทศที่ต่างปรับตัวขึ้นกัน โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกตามดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้น

       อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศยังเป็นตัวกดดัน จากเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน และแม้ว่าจะมีการเล่นเก็งผลประกอบการงวดไตรมาส 3/58 แต่ภาพโดยรวมคงจะยังไม่ดี เนื่องจากกลุ่มแบงก์อาจมีตัวเลข NPL ที่เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มพลังานก็มีแรงกดดันจากราคาพลังงาน ดังนั้นการรีบาวด์ของดัชนีฯจึงเป็นไปอย่างจำกัด

พร้อมให้แนวรับ 1,330 จุด ส่วนแนวต้าน 1,360 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(2 ต.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,472.37 จุด เพิ่มขึ้น 200.36 จุด(+1.23%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,707.78 จุด เพิ่มขึ้น 80.69 จุด(+1.74%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,951.36 จุด เพิ่มขึ้น 27.54 จุด(+1.43%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 424.88 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.79 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 32.92 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 37.96 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 11.92 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 195.87 จุด, ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง, ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

      ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้(5 ต.ค.)เนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(2 ต.ค.58) 1,346.35 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด(+0.09%)

       - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 120.84 จุด เมื่อวันที่ 2 ต.ค.58

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(2 ต.ค.58) ปิดที่ 45.54 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 1.8%

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(2 ต.ค.58)ที่ 7.78 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิดวันนี้ 36.43/45 แนวโน้มแข็งค่าตามภูมิภาคจากแรงขายดอลล์

     - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้จัดทำรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นการลงทุนพิเศษในช่วง 6 เดือนข้างหน้าเสร็จแล้ว และส่งมาให้พิจารณาลงทุนพิเศษในช่วง 6 เดือนข้างหน้าเสร็จแล้ว และส่งมาให้พิจารณาแล้ว จึงเหลือเฉพาะมาตรการจูงใจจากทางกระทรวงการคลังที่จะเสนอมาประกบกัน ก่อนจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาแผนกระตุ้นการลงทุนระยะสั้นต่อไป

      - แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้ยืดขยายกรอบระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพัน เงินกันไว้เหลื่อมปี 2555-2557 ที่ยังคงเหลือกรณีไม่มีหนี้ผูกพันจำนวน 64,365 ล้านบาท คิดเป็น 19.3% ของวงเงินกันไว้เหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2555-2557 ทั้งหมด 333,164 ล้านบาท ออกไปเป็นวันทำการสุดท้ายของเดือน มี.ค. 2559 จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าต้องก่อหนี้ผูกพันให้หมดภายในวันที่ 30 ก.ย. 2558

    - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานปริมาณธุรกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศของระบบธนาคารพาณิชย์ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากถึง 5.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.1 ล้านล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ 36.50 บาท/เหรียญสหรัฐ) หรือเพิ่มขึ้น 29.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธุรกรรมการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้น 2,377 ล้านเหรียญสหรัฐ/วัน (ราว 8.7 หมื่นล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 23.2%

     - ธปท.ร่อนหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงินทุกแห่งแก้ไขหลักเกณฑ์การซื้อเงินหยวนจาก ธปท.โดยมีสัญญาว่าจะขายคืนเพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับเงินบาทฉบับใหม่ ขยายเวลาธุรกรรมซื้อเงินหยวนจาก ธปท.ไม่เกิน 12 เดือน ปรับลดดอกเบี้ยราคาขายเหลือ SHIBOR บวก 0.5% และลดเบี้ยปรับเป็น SHIBOR บวก 3.5% พร้อมทั้งแจ้งวันส่งมอบเงินหยวนล่วงหน้าเหลือ 2 วันการ

    - กรมธุรกิจพลังงานเผยการนำเข้าน้ำมันดิบ 8 เดือนแรกของไทยปีนี้(ม.ค.-ส.ค.58 ) ปริมาณเพิ่มขึ้น 12.9% คิดเป็นมูลค่านำเข้ารวม 4.22 แสนล้านบาท แต่อานิสงส์ราคาน้ำมันโลกดิ่งฉุดมูลค่านำเข้าลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 2.58 แสนล้านบาท ขณะที่การใช้ E 85 ยังลดลงต่อเนื่อง

     - คมนาคม เตรียมชงแอคชั่นแพลนยกชั้นคลองแสนแสบเข้า ครม. ต.ค.นี้ เผยงบพุ่งสูงเฉียด 7 พันล้าน-ตั้งเป้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามภายปี 60 น้ำในคลองสะอาด

*หุ้นเด่นวันนี้

    - BBL(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้าปี 2016 ที่ 195 บาท แนวโน้มกำไร 3Q15 น่าจะโดดเด่นสุดในกลุ่ม โดยคาดกำไรสุทธิ 9,296 ล้านบาท +15.7% Q-Q, -3% Y-Y จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมที่โตดี และคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าไตรมาสก่อน แม้ว่า NPL ยังขึ้นต่อแต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม ทำให้ตั้งสำรองฯสูงกว่าปกติแต่ไม่กระทบกำไรทั้งปีเพราะมีกำไรพิเศษมาชดเชย

    - TU(ฟันันเซีย ไซรัส)"ซื้อลงทุนระยะยาว"เป้าปี 2016 ที่ 23 บาท กำไรสุทธิ 3Q15 น่าจะทำจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 1.78 พันล้านบาท +26% Q-Q, -7% Y-Y ส่วนกำไรปกติ +6% Q-Q และทรงตัว Y-Y กำไรที่ดีมาจากเงินบาทที่อ่อนค่าและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยคาดกำไรปกติปี 2015 +9% Y-Y และปี 2016 +14% Y-Y แต่ระยะสั้นยังมีแรงกดดันจากดีล Bumble Bee ที่ไม่ชัดเจน (น่าจะเห็นความคืบหน้าก่อน 18 ธ.ค. นี้)การถูกตรวจสอบกรณีผูกขาดทางการค้าโดย DOJ และการถูกฟ้องร้องโดยผู้บริโภคอเมริกันกรณีใช้แรงงานทาส

       - LPN (เคเคเทรด)เป้า 20.50 บาท เก็งกำไรบนความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากภาครัฐ คาดจะออกมาเร็ว ๆ นี้

      - SAMTEL(เคเคเทรด)เป้า 23 บาท คาดกำไรฟื้นตัวอย่างมีนัยใน 2H58 จากงานในมือและการประมูลงานใหม่ จากการเร่งการลงทุนของภาครัฐ

    - PTT(ธนชาต)ปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ"จากเดิม"ถือ"แต่ลดเป้าเป็น 310 บาท มีปัจจัยหลักจากการลดสมมติฐานราคาน้ำมัน จากการคาดการณ์ PE ที่ 9 เท่า และ PBV ที่ 0.9 เท่า ซึ่งเป็นค่าต่ำสุดนับตั้งแต่ วิกฤตการณ์ทางการเงิน ในช่วงต้นปี 2009 ทำให้มองว่า ปตท. เป็นที่น่าสนใจ เพราะธุรกิจหลักพบจุดต่ำสุดแล้ว และมี upsie จากการเจริญเติบโตของแรงผลักดันใหม่

ตลาดหุ้นเอเชียดีดขึ้นเช้านี้ จากคาดการณ์เฟดยังไม่ขึ้นดบ.หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐซบเซา

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐได้กระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

   ดัชนี MSCI Asia Pacific ปรับขึ้น 0.4% แตะที่ 126.92 จุด เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ตามเวลาโตเกียวในวันนี้

    ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,930.97 จุด เพิ่มขึ้น 424.88 จุด, +1.98% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,629.59 จุด เพิ่มขึ้น 0.79 จุด, +0.05% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,826.07 จุด เพิ่มขึ้น 32.92 จุด, +1.18% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,342.99 จุด เพิ่มขึ้น 37.96 จุด, +0.46 %

    ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,981.60 จุด เพิ่มขึ้น 11.92 จุด, +0.61% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 17,921.00 จุด เพิ่มขึ้น 195.87 จุด, +1.11%

    ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 5,052.00 จุด ไม่เปลี่ยนแปลง ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 5,089.20 จุด ไม่เปลี่ยนแปลง

     ตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ (5 ต.ค.) เนื่องในวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ

   ตลาดหุ้นเอเชียได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ข้อมูลแรงงานที่น่าผิดหวังของสหรัฐหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

     กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551

     ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 57.51 จุด นำโดยหุ้นเหมือง หลังสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ

    ตลาดหุ้นลอนดอนปิดแดนบวกเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มเหมือง เนื่องจากตัวเลขจ้างงานที่ออกมาต่ำกว่าคาดของสหรัฐ ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นแบงก์ที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งเช่นกัน

     ดัชนี FTSE 100 ปิดเพิ่มขึ้น 57.51 จุด หรือ 0.95% ที่ 6,129.98 จุด ขณะตลอดสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.3%

      ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นอังกฤษร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 6,051.62 ในระหว่างวัน หลังจากที่สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าคาดในเดือนก.ย. ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าผิดหวังมาก

     กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008

     ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

      อย่างไรก็ดี ตลาดดีดตัวและพลิกกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก เพราะนักลงทุนมองว่าข้อมูลแรงงานที่อ่อนแออาจจะทำให้เฟดชะลอการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า และหนุนให้หุ้นกลุ่มเหมืองปรับตัวขึ้นคึกคัก

      หุ้นเฟรสนิลโลพุ่ง 4.80% เป็นแกนนำหุ้นบวก ตามด้วยเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 4.37% แรนโกลด์ เพิ่มขึ้น 4.22% และริโอ ทินโต บวก 0.99%

     ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 2.92% ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป บวก 1.77% บาร์เคลย์ บวก 0.6% และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เพิ่มขึ้น 0.5% หลังมีข่าวว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและการธนาคารของอังกฤษเสนอให้มีการกำหนดเส้นตายสำหรับผู้บริโภคในการขอค่าชดเชยเงินประกันคุ้มครองการชำระเงิน (Payment Protection Insurance: PPI)

      ในส่วนของหุ้นลบนั้น หุ้นบริษัทตรวจสอบและรายงานสินเชื่อ เอ็กซ์พีเรียน ร่วง 3.8% หลังถูกแฮกเกอร์เจาะระบบและขโมยข้อมูลของลูกค้ากว่า 15 ล้านราย โดยข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับลูกค้าของค่ายมือถือ ที-โมบาย ซึ่งมีรายงานว่า ที-โมบาย โกรธมากเกี่ยวกับเรื่องนี้และกำลังพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัท

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก คาดเฟดชะลอขึ้นดบ. หลังตัวเลขจ้างงานน่าผิดหวัง

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลแรงงานสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่ได้จุดกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะชะลอการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน

    ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.5% ปิดที่ 347.86 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 0.4%

     ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 32.34 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 4,458.88 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเพิ่มขึ้น 43.82 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 9,553.07 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 57.51 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 6,129.98 จุด

    ดัชนีหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นไปถึง 1.7% ก่อนที่จะพลิกกลับมาร่วงลง 0.9% ภายหลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

      กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008

   ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

       อย่างไรก็ดี นักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่คาดกันว่าจะเป็นปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง

      ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลแรงงาน เจ้าหน้าที่หลายรายของธนาคารกลางสหรัฐต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 9 ปีว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด

      นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยประเมินว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีนี้

      ประธานเฟดระบุว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเหมาะสมในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมายที่ 2% ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อปัจจัยชั่วคราวที่กดดันเงินเฟ้อได้จางหายไป พร้อมกล่าวว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลกไม่มีแนวโน้มจะมีนัยสำคัญมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของเฟด

     อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน และอาจสะกิดให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดต้องทบทวนท่าทีในการปรับขึ้นดอกเบี้ย

      สำหรับ ในช่วงแรกของการซื้อขายนั้น หุ้นยุโรปพุ่งขึ้น หลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป กล่าวในนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เศรษฐกิจยุโรปกำลังกลับสู่การขยายตัวอีกครั้ง พร้อมย้ำคำมั่นที่เขาได้เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ถึงการผลักดันสหภาพการเงินให้เกิดขึ้นในภูมิภาค นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวขึ้นอีกด้วย หลังจากที่จีนเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

       หุ้นกลุ่มพลังงานยุโรปปรับตัวขึ้น โดยโททาล และ บีพี พุ่งขึ้นกว่า 2%

      ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารในอังกฤษปรับตัวขึ้น โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 2.92% ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป บวก 1.77% บาร์เคลย์ บวก 0.6% และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เพิ่มขึ้น 0.5% หลังมีข่าวว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและการธนาคารของอังกฤษเสนอให้มีการกำหนดเส้นตายสำหรับผู้บริโภคในการขอค่าชดเชยเงินประกันคุ้มครองการชำระเงิน (Payment Protection Insurance: PPI)

      หุ้นดอยช์ ลุฟท์ฮันซา พุ่ง 4.15 หลังเอชเอสบีซีอัพเกรดหุ้นจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" เนื่องจากมีแนวโน้มว่า ทางสายการบินจะสามารถยุติข้อพิพาทกับนักบิน ตลอดจนได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่แข็งแกร่งและต้นทุนเชื้อเพลิงที่ถูกลง

        ส่วนหุ้นลบนั้น นำโดยกลุ่มโทรคมนาคมและยานยนต์ โดยเทเลคอม อิตาเลีย ร่วง 2.7% ขณะที่โฟล์คสวาเกน ร่วง 4.3% หลังจากทางการฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบรถยนต์ของโฟล์คสวาเกน สืบเนื่องจากกรณีอื้อฉาวเรื่องการโกงค่าไอเสีย

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 200.36 จุด จากกระแสคาดเฟดยังไม่ขึ้นดบ

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ (2 ต.ค.) จากที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงแรกของการซื้อขาย โดยนักลงทุนเชื่อว่า มีความเป็นไปได้น้อยลงที่ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ หลังตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นยังได้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนส่งแรงซื้อเข้าหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุด้วย

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 200.36 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 16,472.37 จุด ดัชนี S&P500 บวก 27.54 จุด หรือ 1.43% ปิดที่ 1,951.36 จุด ดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้น 80.69 จุด หรือ 1.74% ปิดที่ 4,707.78 จุด

    สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.0% ขณะที่ Nasdaq ขยับขึ้น 0.5%

     ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงในช่วงเปิดตลาด โดยนักลงทุนพากันส่งแรงเทขายเข้าตลาด หลังผิดหวังต่อการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด

     กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008

    ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

     อย่างไรก็ดี เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง และดันให้ทั้งสามดัชนีพลิกกลับมาเคลื่อนไหวและปิดในแดนบวกในที่สุด เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่คาดกันว่าจะเป็นปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า

  ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลแรงงาน เจ้าหน้าที่หลายรายของธนาคารกลางสหรัฐต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 9 ปีว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด

     นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยประเมินว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีนี้

     ประธานเฟดระบุว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเหมาะสมในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมายที่ 2% ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อปัจจัยชั่วคราวที่กดดันเงินเฟ้อได้จางหายไป พร้อมกล่าวว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลกไม่มีแนวโน้มจะมีนัยสำคัญมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของเฟด

      อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน และอาจสะกิดให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดต้องทบทวนท่าทีในการปรับขึ้นดอกเบี้ย

    คริส โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่เอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ตัวเลขจ้างงานที่ชะลอตัว การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่ปรับตัวลดลง และค่าแรงที่หยุดนิ่ง ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้ประธานเฟด ซานฟรานซิสโก ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์อัตราว่างงานเมื่อวันก่อนก็ตาม

    นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ อันเนื่องมาจากคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการจ้างงานในระดับสูงสุดในอนาคตอันใกล้ และเงินเฟ้อจะค่อยๆปรับตัวสู่เป้าหมายที่ 2% ของเฟด

     นายวิลเลียมส์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.25% ต่อปีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 5% ภายในปีนี้ โดยเขาคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัวสูงกว่า 2% เล็กน้อยในปีหน้า

    ด้านนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาเชื่อว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้

      "ผมคาดหวังว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้" เขากล่าว และเสริมว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.

     สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ นอกจากตัวเลขจ้างงานแล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนส.ค. โดยร่วงลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน นำโดยการดิ่งลงของอุปสงค์เครื่องบินพาณิชย์

      ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 1.7% ในเดือนส.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.

     การร่วงลงของยอดสั่งซื้อในเดือนส.ค. ถือว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่ดิ่งลง 3.7% ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว

     ขณะเดียวกัน ภาวะซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐยังได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นกลุ่มพลังงานทะยาน 4.01% หลังจากที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น เนื่องจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ผลผลิตน้ำมันดิบสหรัฐกำลังหดตัวลง โดยปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐปรับลดลงจาก 9.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อประมาณช่วงปลายเดือนพ.ค. ถึงกลางเดือนก.ค. มาอยู่ที่ราว 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด ขณะที่เบเกอร์ ฮิวจส์ รายงานวันก่อนว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐลดลงอีก 4 หลุม เหลือ 640 หลุม สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 25 ก.ย. ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนก.ค. หลังจากที่ลดลงไปกว่า 31 หลุมเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!