WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET23ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ เฟดไม่ชัดขึ้นดบ.-ขายทำกำไรหลังหุ้นขึ้นแรง

    นักวิเคราะห์ฯคาดการณืดัชนีหุ้นไทยเช้านี้จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ยังไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงช่วงเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นค่อนข้างมากทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาในวันนี้ เพื่อรอดูปัจจัยอื่นเข้ามาเพิ่มเติม แต่ยังคาดหวังเรื่องแรงซื้อของกองทุนในประเทศที่น่าจะยังคงมีเข้ามาอยู่ และทิศทางตลาดหุ้นที่จะน่าจะดีขึ้นในช่วงเดือนก.ย.จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยให้แนวรับบริเวณ 1,358-1,360 จุด และแนวต้านที่ 1,380-1,390 จุด

    นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว sideways หลังเฟดยังไม่มีความชัดเจนช่วงเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสันโฮล รัฐไวโอมิง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ยังไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้หรือไม่

   ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอาจจะเผชิญกับแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา หลังจากที่ดัชนีดีดตัวขึ้นมามากในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนเกือบถึงระดับเดิมก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลงแรงตามความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ประกอบกับตลาดยังรอปัจจัยใหม่ๆที่จะเข้ามาเพิ่มเติมด้วย

    อย่างไรก็ตาม ดัชนียังมีปัจจัยบวกหนุนจากการที่คาดว่ากองทุนในประเทศ น่าจะยังคงเข้าซื้อหุ้นกลับคืนในตลาดต่อเนื่องหลังจากที่ได้ขายออกไปช่วงก่อนหน้านี้ราว 12,000 ล้านบาท ประกอบกับยังมองตลาดในเดือนก.ย.ยังมีทิศทางที่ดี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงการที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) น่าจะลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย.นี้ ทำให้ตลาดคาดหวังเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    พร้อมให้แนวรับที่บริเวณ 1,358-1,360 จุด และแนวต้านที่ 1,380-1,390 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(28 ส.ค.58) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,643.01 จุด ลดลง 11.76 จุด (-0.07%) จุด , ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,828.32 จุด เพิ่มขึ้น 15.61 จุด (+0.32%) ,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,988.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.21 จุด (+0.06%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 129.34 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 28.79 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 180.63  จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 7.44 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 31.24 จุด, ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติมาเลเซีย

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(28 ส.ค.58)  1,365.94 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด (+0.58%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,207.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ส.ค.58

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(28 ส.ค.58) ปิดที่ 45.22 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.66 ดอลลาร์

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(28 ส.ค.58)ที่ 4.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 35.85 ติดตามผลประชุม ECB-ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

                - การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันประจำเดือนกันยายนนี้ เตรียมปรับเป้าตัวเลขส่งออกทั้งปี 2558 ลงอีกครั้งจากเดิมติดลบ 2% เป็นติดลบ 4% และปรับลดเป็น GDP จากโต 3.5% เป็นไม่ถึง 3% หลังตัวเลขส่งออก 7 เดือน ยังลดต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจโลกมีแต่ปัจจัยรุมเร้า ยังหวังครม.ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปี

                - นายบุตรรัตย์ จรูญสมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิลค์สแปน เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สินเชื่อประเภทรถแลกเงินมีอัตราการเติบโตสูงและเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาก เนื่องจากสามารถนำเงินสดที่ได้จากการนำรถมาเป็นหลักประกันสินเชื่อไปเป็นทุนหมุนเวียนทางธุรกิจได้

                - นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ ชะลอตัวลงทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้ โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ลูกค้าในกลุ่มข้าราชการก็ต้องยอมรับว่าช่วงหลังๆ นี้ มีความเสี่ยงเครดิตเพิ่มขึ้น และสถาบันการเงินเริ่มไม่ได้สิทธิพิเศษในการปล่อยกู้เหมือนในอดีตแล้ว

                - นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ม.ค.2559 อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่คิดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) จะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้รถที่นำออกจากโรงงาน รวมถึงรถยนต์ที่นำเข้าและเสียภาษีสำเร็จตั้งแต่วันดังกล่าว จะต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ทันทีไม่มีการยกเว้น

                - แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางแก้ปัญหากรณีสินค้าอุปโภคและบริโภคในประเทศมีราคาสูง ในขณะที่ราคาน้ำมันลดลงแล้ว พร้อมทั้งสั่งการให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคากลางของสินค้าอุปโภคและบริโภคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะระดับราคาน้ำมันที่ลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการเอาเปรียบผู้บริโภค

                - แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังได้เรียกผู้บริหารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ให้ปล่อยกู้ไม่คิดดอกเบี้ยกับกองทุนหมู่บ้านให้มากที่สุด จากเดิมจะให้ปล่อยรวมกัน 4 หมื่นล้านบาท แต่ได้ขอให้ขยายวงเงินเพิ่มเป็น 6 หมื่นล้านบาท เพื่อไปปล่อยกู้กับสมาชิกของกองทุนเพื่อให้นำไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรายละเอียดทั้งหมดจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์นี้

*หุ้นเด่นวันนี้

                - KTC(ธนชาต) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 115 บาท โดยมองว่านโยบายการตั้งสำรองแบบระมัดระวัง และความสำเร็จในการบริหาร NPL ของ KTC ทำให้ coverage ratio เพิ่มขึ้นมากจาก 195% ในปี 2012 มาอยู่ที่ 364% ในปี 2014 และ 393% ใน 1H15 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในบรรดาบริษัทสินเชื่อเพื่อการบริโภค (Consumer Finance) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม แม้ KTC จะไม่มีนโยบายโอนกลับตั้งสำรองพิเศษเพื่อเป็นกำไร แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารตั้งสำรองพิเศษเพื่อให้มีกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหากจำเป็นในอนาคต  ด้วยเรามองว่า coverage ratio ที่ 300% เป็นระดับที่สูงเกินไป เราจึงได้ประเมินมูลค่าที่ซ่อนไว้ได้ที่ 4.35 บาท/หุ้น หรือ 54% ของกำไรต่อหุ้นปี 2015 และ 5% ของราคาหุ้นปัจจุบัน

                - THCOM (เคเคเทรด) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 51 บาท โดยเชื่อว่าข่าวการเปลี่ยนผู้บริหาร เป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนไป โดยคาดกำไรในระยะ 1-2 ปีนี้ยังสดใส จึงยังคงการประเมินกำไรปี 58 – 59 ไว้ตามเดิมที่ 2.2 พันล้านบาท (+40% YoY) และ 2.6 พันล้านบาท (+17% YoY) ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย 28%  นอกจากนี้ยังมี upside จากดาวเทียมไทยคม 8 ที่มีกำหนดจะจัดส่งสู่วงโคจรในช่วง 1H59 แต่ยังไม่รวมในประมาณการ และแม้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไป 12.7% จากต้นปีที่ผ่านมา (5 ม.ค. 58 – 28 ก.ย. 58) แต่ถือว่าใกล้เคียงเมื่อเทียบภาพรวมของกลุ่ม (ดัชนีกลุ่ม ICT ในช่วงเดียวกัน ลดลง 12.4%) ขณะที่คาด THCOM มีอัตราการเติบโตกำไรที่สูงกว่ากลุ่ม ดังนั้นจึงเห็นว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน

                - KTB(เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ)แนะ"สะสม"ให้ราคาเหมาะสมที่ 21.03 บาท โดยคาดว่าราคาหุ้น KTB จะตอบรับเชิงบวก เนื่องจากเชื่อว่าการประชุมครม.และครม.เศรษฐกิจในวันอังคาร – พุธนี้ จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นกำลังซื้อของคนรายได้น้อยที่เป็นนโยบายหลักของครม.เศรษฐกิจชุดใหม่ ขณะที่ Valuation ค่อนข้างถูก ซื้อขายระดับ PER 2558 เพียง 7.1 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 9.3 เท่า และ PBV 2558 เพียง 0.9 เท่า ต่ำว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.1 เท่า

ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงเช้านี้ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ

   ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้รับปัจจัยถ่วงหลังตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

   ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.6% แตะ 130.26 จุด เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น.ตามเวลาโตเกียว

   ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,006.98 จุด ลดลง 129.34 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,026.62 จุด เพิ่มขึ้น 7.44 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,934.12 จุด ลดลง 3.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,987.18 จุด เพิ่มขึ้น 31.24 จุด, ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติมาเลเซีย

   ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%

    ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐประจำเดือนส.ค.ลดลงมากกว่าคาด สู่ระดับ 91.9 โดยต่ำกว่า 92.9 ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นของเดือนส.ค. และต่ำกว่าระดับ 93.1 ของเดือนก.ค. อันเนื่องมาจากความวิตกต่อภาวะผันผวนในตลาดหุ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจจีน

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 11.76 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.อ่อนแอ

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาด ซึ่งส่งผลให้ดาวโจนส์ขยับลงไม่มากนัก ในขณะที่ดัชนี NASDAQ และ S&P 500 สามารถปิดในแดนบวก

   ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,643.01 จุด ลดลง 11.76 จุด หรือ -0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,988.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.21 จุด หรือ +0.06% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,828.32 จุด เพิ่มขึ้น 15.61 จุด หรือ +0.32%

    ส่วนในตลอดทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.1%, S&P 500 ปรับขึ้นทั้งสิ้น 0.9% และ NASDAQ เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 2.6%

    ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างผันผวน โดยดาวโจนส์ปรับตัวลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%

    ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐประจำเดือนส.ค.ลดลงมากกว่าคาด สู่ระดับ 91.9 โดยต่ำกว่า 92.9 ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นของเดือนส.ค. และต่ำกว่าระดับ 93.1 ของเดือนก.ค. อันเนื่องมาจากความวิตกต่อภาวะผันผวนในตลาดหุ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจจีน

   อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ซึ่งช่วยให้ตลาดลดแรงลบ และยังช่วยหนุนดัชนี NASDAQ และ S&P500 ปิดในแดนบวก

   ทั้งนี้ นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายนารายานา โคเชอร์ลาโคตา ประธานเฟดสาขามินเนอาโพลิสได้แสดงความเห็นว่า เฟดยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โดยการแสดงความเห็นของนายโคเชอร์ลาโคตาในครั้งนี้ สอดคล้องกับคำกล่าวของเขาเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ว่า เฟดไม่ควรรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ควรผ่อนคลายนโยบายต่อไป ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

    นอกจากนี้ การแสดงความเห็นของประธานเฟดมินเนอาโพลิสยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มลดลงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะปั่นป่วนในตลาดโลกระยะนี้

    หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นทรานส์โอเชียน ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 3.5%

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นอินเทล คอร์ป ปรับขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก ดีดตัวขึ้น 1.5%

   อย่างไรก็ตาม หุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 1.7% หลังจากมีรายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐประจำเดือนส.ค.ลดลงมากกว่าคาด อันเนื่องมาจากความผันผวนของตลาดหุ้น

       ส่วนหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และหุ้นไฟเซอร์ ร่วงลงอย่างน้อย 1% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ภายในประเทศ

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 28 ส.ค.2558

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กิดลบเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาด ซึ่งส่งผลให้ดาวโจนส์ขยับลงไม่มากนัก ในขณะที่ดัชนีNASDAQ และ S&P 500 สามารถปิดในแดนบวก

          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,643.01 จุด ลดลง 11.76 จุด หรือ -0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,988.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.21 จุด หรือ +0.06% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,828.32 จุด เพิ่มขึ้น 15.61 จุด หรือ +0.32%

          อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่เมืองแจ็คสันโฮล รัฐไวโอมิงจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้

          ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.3% ปิดที่ 363.28 จุด

          ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,675.13 จุด เพิ่มขึ้น 16.95 จุด หรือ +0.36% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ ที่ 6,247.94 จุด เพิ่มขึ้น 55.91 จุด หรือ +0.90% แต่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,298.53 จุด ลดลง 17.09 จุด หรือ -0.17%

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาโลหะประเภทต่างๆปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป

          ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,247.94 จุด เพิ่มขึ้น 55.91 จุด หรือ +0.90%

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแนวโน้มที่สดใส เมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์

          สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.66 ดอลลาร์ ปิดที่ 45.22 ดอลลาร์/บาร์เรล

          สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 2.49 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.05 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 11.4 ดอลลาร์ หรือ 1.02% ปิดที่ 1,134 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 11.2 เซนต์ ปิดที่ 14.549 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 15.7 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,021.70 ดอลลาร์/ออนซ์

          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 22.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 590.15 อลลาร์/ออนซ์

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์

          ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 121.33 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 120.68 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9630 ฟรังค์ จากระดับ 0.9653 ฟรังค์

          ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1179 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.1257 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.5391 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5425 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7164 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7171 ดอลลาร์สหรัฐ

    ดัชนี ค่าระวางเรือ BDI ปิดวันทำการล่าสุดที่ 903.00 จุด ลดลง 2.00 จุด, -0.22%

 

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!