WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

bull market5โบรกฯ คาดสัปดาห์หน้า SET รีบาวน์ หลังปัญหาชายแดนเกาหลีหนุนน้ำมัน แถมทริกเกอร์ฟันด์ออกกองทุนหุ้น 2 กอง แนะลุยกลุ่มพลังงาน - รับเหมาฯ

   โบรกฯ คาดสัปดาห์หน้าหุ้นไทยรีบาวน์ คาดแรงซื้อกลับหุ้นพลังงาน จากเหตุการณ์ปะทะบนคาบสมุทรเกาหลี และกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อออกใหม่ 2 กอง พร้อมมั่นใจทีมศก.ชุดใหม่จะเร่งโครงการรัฐฯ เดินหน้าเร็วขึ้น  พร้อมติดตามรายละเอียดร่างรธน. แนะซื้อซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน รับเหมาฯ ในจังหวะอ่อนตัว ประเมินแนวรับ 1,360 +/- จุด แนวต้าน 1,380-1,385 จุด

  นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในแดนลบ ด้วยแรงกกดันจากตลาดหุ้นโลก (Global market) ปรับลงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงแรงหลุด 17,000 จุด โดยภาวะตลาดหุ้นโลกต่างปรับตัวลง เนื่องจากเกิดความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากความกังวลศรษฐกิจจีน ซึ่งตัวเลข PMI ภาคการผลิตล่าสุดที่ออกมาปรับตัวลง สะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน อีกทั้งมีความไม่แน่นอนต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) 

   นอกจากนี้ สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะส่งผลดีต่อราคาน้ำมันที่ก่อนหน้าทรุดแรงต่อเนื่อง จากภาวะอุปทานส่วนเกิน เหตุการณ์ข้างต้นอาจจะทำให้ราคาน้ำมันรีบาวน์ได้ แต่หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ ราคาน้ำมันจะกลับมาถูกแรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐาน ด้วยภาวะอุปทานส่วนเกินต่อไป

   ขณะที่ปัจจัยในประเทศ หลังนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ต้องติดตามกันต่อไปว่าการทำงานจะเร่งดำเนินนโยบายที่ล่าช้าให้เร็วขึ้นหรือไม่ หากดำเนินการได้จริงก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

   สำหรับ สัปดาห์หน้า คาดหุ้นไทยรีบาวน์ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับ จากเหตุการณ์ปะทะบนคาบสมุทรเกาหลี และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT ก็ราคาปรับลงจนใกล้เคียงกับราคาตามมูลค่าพื้นฐาน (Book value) จึงเหมาะที่จะเป็นจังหวะการซื้อกลับของนักลงทุน อีกทั้งจะมีกองทุนรวมทริกเกอร์ฟันด์ (Trigger fund) ออกใหม่ อีก 2 กองทุน ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยสนับสนุนให้ดัชนีฯ ฟื้นตัว

   นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตาม นั่นก็คือ รายละเอียดของร่างรัฐมนูญฉบับใหม่ ที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะส่งกลับไปให้ สปช. พิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับร่างฯ เพราะหากไม่รับร่างฯ ก็มีแนวโน้มว่าการเลือกตั้งจะถูกเลือกออกไปได้

   ด้านกลยุทธ์ แนะหาจังหวะซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อหวังการรีบาวน์ช่วงสั้น และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับครม. ชุดใหม่ พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,360 +/- จุด แนวต้าน 1,380-1,385 จุด

   ด้านนายยศพล แสงนิล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีฯปรับตัวลดลง ได้ปัจจัยลบจากเหตุการณ์ระเบิดภายในประเทศเมื่อ2วันที่ผ่านมายังคอยกดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนนอกประเทศได้รับแรงกดดันจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจีนที่เริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว  ซึ่งรวมถึงผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยโดยตรงเนื่องจากจีนลดปริมาณสินค้าที่สั่งซื้อในประเทศไทย

   ประกอบกับราคาน้ำมันภาพรวมยังคงซบเซาเหตุจากกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน(โอเปก) และสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น และการยกเลิกคว่ำบาตรของประเทศอิหร่านที่คาดว่าจะสามารถกลับมาผลิตและส่งออกน้ำมันดิบได้ในช่วงปลายปีนี้  แต่อย่างไรก็ตามบล.ยูโอบี เคย์เฮียน  ประเมินว่าช่วงสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันตลาดBrentโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ53ดอลลาร์/บาร์เรล และในตลาดWTIโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับที่50ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบของตลาดโลกมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นเหตุจากใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวและผู้ประกอบการบางส่วนมีแนวโน้มล้มเลิกกิจการ 

   ด้านนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีสัญญาณเข้าซื้อสุทธิ โดยส่วนใหญ่รอความชัดเจนจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในช่วงเดือน ก.ย.58นี้ โดยมี2 กรณีคือ 1.หากปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน ก.ย.58นี้จะทำให้เงินทุนในประเทศย้ายสินทรัพย์ไปลงทุนในประเทศสหรัฐซึ่งจะเป็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเป็นหลักแต่ในระยะยาวคาดว่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในประเทศต่อไป และ2.เฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน ก.ย.58นี้ ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงประมาณ75%สาเหตุจากจากเศรษฐกิจโดยรวมโดนผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนชะลอ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้าทยอยลงทุนทันทีหลังได้รับความชัดเจนจากการประชุมเฟด แต่ในการประชุมรอบถัดไปในเดือน ธ.ค.58 ยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 70% ส่วนอีก30% มีโอกาสที่ไปปรับขึ้นในช่วงปีหน้า(2559)

   อย่างไรก็ตาม ตลาดฯยังได้ปัจจัยหนุนจากนักลงทุนสถาบันที่เริ่มทยอยเข้าสะสมหุ้นโดยเฉพาะช่วงดัชนีใกล้เคียง 1,350จุด โดยมีแรงซื้อจากหุ้นกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์และกลุ่มสื่อสาร ที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลงเหมาะสมต่อการลงทุนในระยะยาว

   สำหรับ แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า คาดว่า ดัชนียังคงปรับตัวแดนลบ จากปัจจัยลบในต่างประเทศคือเศรษฐกิจจีน และราคาน้ำมันดิบยังคงชะลอตัว และความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้โดยปัจจุบันเกิดการปะทะกันในบริเวณตามแนวชายแดนของทั้ง2ประเทศ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอความชัดเจนจากการประชุมเฟดในช่วงเดือน ก.ย.58นี้  

   ทั้งนี้ การปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ทางบล.ยูโอบี เคย์เฮียนมีมุมมองเป็นบวกซึ่งคาดว่า โครงการเมกะโปรเจกต์ ที่จะสามารถเห็นความชัดเจนเร็วขึ้นโดยส่งผลให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME)ให้เติบโตได้ในอนาคต  

   กลยุทธ์การลงทุน แนะเข้าซื้อ ช่วงดัชนีเข้าใกล้แนวรับที่1,350จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่1,400จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูง อย่าง TVOราคาเป้าหมาย35.75บาท,ADVANCราคาเป้าหมาย270บาท,KTBราคาเป้าหมาย22บาท ส่วนสำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะ SVI ราคาเป้าหมาย 5.40บาท

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!