WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET28ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลง ตามตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรงจากกังวลเศรษฐกิจถดถอย-ราคาน้ำมันลดกดดันหุ้นพลังงาน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าว ตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะปรับตัวลง หลังเมื่อคืนนี้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐ ร่วงลงแรงกว่า 800 จุด จากสัญญาณภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ปัจจัยในประเทศก็ยังเข้ามาซ้ำเติมหลังจากที่บจ.ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/62 ออกมาไม่สดใส ทำให้มีโอกาสที่จะเผชิญกับ Downside ประมาณกำไรของบจ.เข้ามาซ้ำเติมด้วย
 
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดน่าจะยังมีแรงขายนำออกมาในหุ้นกลุ่มหลักอย่างกลุ่มแบงก์ต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มพลังงานที่ได้รับ Sentiment จากราคาน้ำมันที่ลดลง และผลประกอบการของกลุ่มที่ยังอ่อนแอ ขณะที่ยังต้องระวังแรงขายในหุ้นกลุ่มสื่อสารด้วย หลังจากปรับขึ้นมามากก่อนหน้านี้
 
พร้อมให้แนวรับที่ 1,600 จุด และ 1,580 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,620 จุด
อนึ่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 800 จุดเมื่อคืนนี้ (14 ส.ค.) หลังจากตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หรือภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในหลายประเทศ รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 17 ปี และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีที่หดตัวลงในไตรมาส 2
 
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,479.42 จุด ร่วงลง 800.49 จุด (-3.05%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,840.60 จุด ลดลง 85.72 จุด (-2.93%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,773.94 จุด ดิ่งลง 242.42 จุด (-3.02%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 330.88 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 46.57 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 356.54 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 52.98 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 51.75 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 15.40 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 139.63 จุด ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันฉลองอิสรภาพ
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ส.ค.62) 1,619.45 จุด ลดลง 0.78 จุด (-0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,961.93 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2562
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ส.ค.62) ปิดที่ 55.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.87 ดอลลาร์ หรือ 3.3%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ส.ค.) อยู่ที่ 5.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.81/85 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ จับตาตลาดหุ้นไทย
- รมว.คลัง จี้บจ.กลุ่มใหญ่เร่งลงทุน หวังเพิ่มการนำเข้าลดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสร้างสมดุลให้เศรษฐกิจ พร้อมจี้ตลาดทุนช่วยเปิดทาง "เอสเอ็มอี" เข้าถึงการระดมทุนง่ายขึ้น ขณะ "ไพบูลย์" แนะระยะสั้นเลี่ยงลงทุน เหตุความผันผวนสูง แต่ระยะยาวยังไปได้ จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ด้าน กบข. พร้อมเข้าเก็บหุ้นหากร่วงแรง มองดัชนียังมีลุ้น 1,700 จุด
 
- "สมคิด"สั่ง กระทรวงอุตสาหกรรม โรดโชว์ด่วน พร้อมผุดมาตรการดึงนักลงทุนได้รับผลกระทบเทรดวอร์ย้ายฐานมาไทย กำชับดูแลเอสเอ็มอีใกล้ชิด ลุยไบโอฮับให้เป็นรูปธรรม ด้านเอกชนประเมินประท้วงฮ่องกงระอุ กระทบส่งออกไทยวูบ 900 ล้านดอลลาร์
 
-  บริษัท มีเดีย อิเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณามีการเติบโต โดยมีแต่ปัจจัยลบในประเทศเรื่องของกำลังซื้อ ย่อมมีผลต่อการจับจ่ายของผู้บริโภคและยอดขายของแบรนด์ ส่งผลให้มีการใช้งบประมาณกันค่อนข้างจำกัด
 
- ภาคเอกชนได้ยื่นสมุดปกขาว 6 ข้อ ให้นายกฯ พิจารณาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและแก้ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ของโลกเพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ โดยสมุดปกขาวเป็นบทสรุปที่ได้จากการระดมความคิดเห็นจากภาคเอกชนในกลุ่มต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ด้าน"สมคิด" ระบุว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แรงพอสมควร เนื่องจากช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่าการเบิกจ่ายของราชการน้อยจากปกติ การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจต่ำกว่าเป้า การส่งออกก็ไม่ดีจากภาวะเศรษฐกิจโลก จึงถึงเวลาที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
 
- คลังลุ้นแผนแจกเงิน 1,500 บาท ให้คนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป ลงทะเบียนรับเงินประมาณ 10 ล้านคน เป็นเงินงบประมาณ 15,000 ล้านบาท คาดว่าทำให้เม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 30,000-40,000 ล้านบาท หากครม.เศรษฐกิจเห็นชอบ ค่อยประชาสัมพันธ์วิธีการแจกและใช้เงิน พร้อมยืนยันว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังเสนอให้พิจารณา สามารถรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่กำลังผันผวนได้แน่นอนและไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงส่วนจะใช้วงเงินรวม 50,000 ล้านบาทหรือไม่ ต้องรอดูกันหลังประชุม ครม.เศรษฐกิจ
 
- "4 แบงก์ใหญ่" หั่นดอกเบี้ย "เอ็มโออาร์-เอ็มอาร์อาร์" 0.25% หวังช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ลดภาระให้รายย่อย ประคองเศรษฐกิจฟื้น ชี้ "กสิกรไทย" นำหั่นดอกเบี้ยรายแรก ขณะ "เอสซีบี" ยันต่ำสุดในระบบ ด้านนักวิเคราะห์ เชื่อหากทุกแบงก์ลด ช่วยเอสเอ็มอีเซฟดอกเบี้ย 9.6 พันล้านบาท ขณะหุ้นกลุ่มแบงก์รูดหนัก ฉุดดัชนีหุ้นไทยปิดร่วงท้ายตลาด
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- BJC (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 59 บาท หลังเผยกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 ที่ 1,528 ล้านบาท +9.4%YoY จากยอดขายดีขึ้นทุกธุรกิจ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพนักงาน 237 ล้านบาท จะมีกำไรปกติ 1,765 ล้านบาท +26.4%YoY ขณะที่ครึ่งหลังยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ซึ่งเป็น High Season ด้านราคามี Upside ราว 17.8% จากราคาตลาด โดยกำไรงวด 6 เดือน ปี 2562 อยู่ที่ 3,024 ล้านบาท (+4.3%YoY) คิดเป็นราว 41% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2562 จำนวน 7,221 ล้านบาท (+8.6%YoY) คาดว่าจะมาจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะ ไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของกลุ่มค้าปลีก พร้อมกันนี้มีการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.18 บาทต่อหุ้น (XD 28 ส.ค. 2562) คิดเป็นอัตราเงินปันผลระหว่างกาลราว 0.36%
 
- CPF (คิงส์ฟอร์ด) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท กำไรสุทธิ Q2/62 แข็งแกร่งที่ 4,104 ล้านบาท -4%YoY, -30%QoQ แม้บันทึก Employee Benefit 1,812 ล้านบาท เงินบาทแข็งค่าและผลของ TFRS15  แต่ผลงานหลักยังแข็งแกร่ง ยอดขายลดลงเพียง -1.8% ที่ 1.34 แสนล้านบาท และครึ่งปีแรกยังโต +1%YoY ที่ 2.59 แสนล้านบาท หากไม่รวม FX loss และ TFRS15 ยังโต 10%YoY คาดแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง ราคาหมูและไก่ในไทยดี ส่วนหมูในเวียดนามและจีนรอฟื้นตัวปลายปี ต้นทุนวัตถุดิบทรงตัวต่ำ ผู้บริโภคในจีนและเวียดนามเชื่อมั่นซื้อหมูภายใต้แบรนด์ที่มาตรฐานของ CPF พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารปรุงเสร็จ และค่าแรงขั้นต่ำมีผลกระทบน้อย จาก Bloomberg Consensus คาดกำไรสุทธิปี 62 ของ CPF ที่ 12,938 ล้านบาท +49%YoY
 
- COM7 (กสิกรไทย) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 28.75 บาท กำไรไตรมาส 2/62 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 294 ล้านบาท โตขึ้น 36% YoY และ 18% QoQ สูงกว่าคาด 8% จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาด ทั้งนี้ การเติบโต YoY รับแรงหนุนการเติบโตของรายได้และ GPM แข็งแกร่ง เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ส่วนกำไรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ QoQ ได้แรงหนุน GPM และรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้ กำไรในครึ่งปีแรกคิดเป็น 47% ต่อประมาณการกำไรทั้งปีที่ 1.17 พันล้านบาท (+31% YoY) คาดแนวโน้มแข็งแกร่งในครึ่งปีหลังจากแบรนด์หลัก เช่น Apple มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือน ก.ค.62 และผล synergy กับกลุ่ม BTS รวมถึงเป็นช่วง high season ในไตรมาส 4/62 นอกจากนี้คาดว่าตลาดจะทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรด้วย
 
--อินโฟเควสท์
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!