- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 25 July 2019 16:19
- Hits: 2582
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบคล้ายภูมิภาค เกาะติดประชุม ECB-รัฐบาลแถลงนโยบายวันนี้
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ คล้ายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ราว 0.1-0.3% เท่านั้น เนื่องจากอยู่ในช่วงของการรอดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันนี้ และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ทำให้ช่วงนี้ไม่มีปัจจัยอะไรมาขับเคลื่อนให้ดัชนีฯไปในทางใดทางหนึ่ง
ส่วนบ้านเราก็รอดูการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่มีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ค. ซึ่งหลังการแถลงแล้วก็น่าจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,720-1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,269.97 จุด ลดลง 79.22 จุด (-0.29%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,019.56 จุด เพิ่มขึ้น 14.09 จุด (+0.47%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,321.50 จุด เพิ่มขึ้น 70.10 จุด (+0.85%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 6.38 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 51.45 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.37 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.29 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 43.51 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 ก.ค.62) 1,725.44 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด (+0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 65.37 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2562
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 ก.ค.62) ปิดที่ 55.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 ก.ค.62) ที่ 6.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.90/92 แนวโน้มแกว่งแคบในกรอบ 30.85-31.00 ตลาดรอติดตามผลประชุม ECB วันนี้
- ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ เชื่อว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งเบร็กซิท สงครามการค้าสหรัฐและจีน การส่งออกที่ชะลอตัวลงและติดลบ ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว ล่าสุดการส่งออกมีแนวโน้มปรับดีขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกเดือนมิถุนายน คิดลบ 2.15% มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ 6 เดือนแรก 2562 ติดลบ 2.93% เฉลี่ยต่อเดือน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการส่งออกทั้งปีมีโอกาสเป็นบวกได้ ถ้ามูลค่าส่งออกต่อเดือนมีมูลค่าถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดจีดีพีเติบโต 2.9-3.3% ขณะที่การส่งออกคาดว่าติดลบอยู่ 1 % ถึง บวก 1 %
- "ออมสิน" เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากไตรมาส 2/2562 วูบ หลังประชาชนกังวลเบรกใช้จ่ายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอ รายได้ลด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ สวนทางค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น แนะรัฐบาลใหม่เร่งส่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันมาตรการอุ้มผู้มีรายได้น้อยต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้านโยบายหาเสียง หวังช่วยพยุงความเชื่อมั่น
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คนไทยติดกับดักหนี้ครัวเรือนเป็นอันดับต้นของโลกจนปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับ 78.7% ของจีดีพี เป็นผลมาจากภาคธุรกิจสนับสนุนให้ลูกค้าซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยและเกินความจำเป็น ทำให้คนไทยมีหนี้เร็ว ระยะเวลานาน และมีมูลหนี้มากขึ้น โดยคนไทยมีหนี้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นจากปี 53 อยู่ที่ 70,000 บาทต่อคน เป็น 150,000 บาทต่อคนในปี 60 ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่รวมหนี้นอกระบบ หนี้ของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และไม่รวมหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มจนอาจเกิดปัญหาสังคมได้ จึงต้องเร่งการแก้ไขปัญหา
- ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชนคาดหวังนโยบายจากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% เพราะครึ่งปีแรกเศรษฐกิจขยายตัวต่ำเนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงทั้งสงครามการค้า เบร็กซิท และส่งออกชะลอตัว แต่ปัจจุบันมองว่าปัจจัยเสี่ยงนี้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น มีโอกาสเป็นบวกถ้าส่งออกต่อเดือนมีมูลค่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงที่เหลือของปีนี้
*หุ้นเด่นวันนี้
- STARK (บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น) ย้ายหมวดเทรดวันแรกในวันนี้ (25 ก.ค.) จากหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ เป็น หมวดธุรกิจ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หลัง Backdoor บมจ.สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย (SMM) เดิม โดย STARK ประกอบธุรกิจด้วยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยถือหุ้นในบริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย 99.28% ที่ประกอบธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าทองแดงและอลูมิเนียม
- TCAP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 62 บาท กำไร H2/62 มีโมเมนตัมดีต่อ เบื้องต้นคาดกำไร Q3/62 +7% Q-Q, +9% Y-Y เป็น 2 พันล้านบาท จากการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อ ดีลควบ TBANK และ TMB อยู่ระหว่าง due diligence คาดจบในปีนี้เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอื่นๆ นอกจาก TCAP จะมีกำไรจากการขาย TBANK แล้ว พร้อมคาดมีปันผลพิเศษ รวมทั้งอาจซื้อหุ้นคืน และนำไปขยายธุรกิจ
- VNT (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 29 บาท คาดเป็นหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีที่คาดว่างบ 2Q62 จะออกมาโดดเด่นที่สุดของกลุ่ม จากผลบวกของ Spread PVC ที่เพิ่มขึ้นหลังจากต้นทุนซึ่งเป็น Ethylene ลดลงตามตลาดปิโตรฯ ขณะที่ราคา Caustic Soda ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์หลักราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากอินเดียกลับมานำเข้าอีกครั้งเช่นเดียวกับโรงอะลูมิเนียมรายใหญ่ของบราซิลที่กลับมาผลิตสั่งซื้อมากขึ้น
- III (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 8.10 บาท การประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท AirAsia เป็นการแสดงให้เห็นถึงความ ชัดเจนในการร่วมมือกันของทั้งสองบริษัท เนื่องจากประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้นของบริษัทมาโดยตลอด เชื่อว่าการเจรจาในด้านข้อตกลงทางธุรกิจนั้นจะเป็นในลักษณะที่ Win-Win ของทั้งสองฝ่าย โดยบริษัทจะมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 7 ส.ค. นี้อีกครั้ง นอกจากนี้การลงทุนในบริษัท EAC ก็น่าจะทำให้บริษัทยังคงมีการขยายขอบเขตการทำธุรกิจไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้น
--อินโฟเควสท์