WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

12 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนตัวลง เหตุกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอหลังเผชิญผลกระทบจากสงครามการค้า
 
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะอ่อนตัวลง แม้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ปรับตัวขึ้นกันเล็กน้อยแต่เป็นการขึ้นมาหลังจากที่เมื่อวานนี้ร่วงแรง โดยเมื่อวานนี้ Emerging Market ได้ร่วงไปกว่า 2% ขณะที่ตลาดบ้านเราปิดทำการ ซึ่งรับผลจากความกังวลเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้นักลงทุนหนีออกจากสินทรัพย์เสี่ยงหันไปเข้าลงทุนในพันธบัตร ,ทองคำ และเงินเยน
 
นอกจากนี้ ตลาดฯยังมีปัจจัยกดดันจากเรื่องแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย, การที่สหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่าอิตาลีจะต้องทบทวนข้อเสนอร่างงบประมาณประจำปีหน้า พร้อมได้แสดงความกังวลต่อการขาดดุลงบประมาณของอิตาลี และการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
 
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,640-1,666 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,191.43 จุด ร่วงลง 125.98 จุด (-0.50%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,740.69 จุด ลดลง 15.19 จุด (-0.55%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,437.54 จุด ลดลง 31.09 จุด (-0.42%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 156.98 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.86 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 54.62 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 0.91 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 13.09 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.94 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.50 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 11.79 จุด
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ต.ค.61) 1,658.56 จุด ลดลง 9.35 จุด (-0.56%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 55.96 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ต.ค.61) ปิดที่ 66.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.93 ดอลลาร์ หรือ 4.2%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ต.ค.61) ที่ 4.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.80/84 อ่อนค่าจากเย็นวันจันทร์ แต่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สอดคล้องกับสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค หลังเมื่อวันจันทร์บาทอ่อนสวนทางภูมิภาคจากตัวเลขส่งออกติดลบในรอบ 19 เดือน
 
- "แบงก์ชาติ" เผยผู้ประกอบการ อสังหาฯ ธนาคารพาณิชย์ แห่ส่งข้อเสนอให้พิจารณา เพื่อกำหนดเกณฑ์คุมสินเชื่อบ้าน ย้ำพร้อมปรับเปลี่ยนแนวทางกำกับดูแล หากเป็นประโยชน์ในภาพรวม และไม่กระทบระบบเกินไป หวังผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด ด้านสมาคมแบงก์ เตรียมหารือ ธปท. ร่วมวางมาตรฐานปล่อยสินเชื่อ
 
- แบงก์พาณิชย์ทยอยขึ้นดอกเบี้ย สินเชื่อบ้าน ตั้งแต่ไตรมาส 3 พร้อมปรับแพ็คเกจใหม่ เน้นดอกเบี้ยลอยตัว แทนคงที่ แจงไม่เกี่ยวกับมาตรการคุมสินเชื่อของแบงก์ชาติ อ้างรองรับต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้น ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
 
- "สมคิด" สั่งการ "พาณิชย์" คุมเข้มราคาสินค้า ป้องกันการฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชน หลังราคาน้ำมันพุ่ง พร้อมกำชับดูแลราคาสินค้าเกษตรใกล้ชิด หวังให้เกษตรกรขายสินค้าได้ราคาดีและเป็นธรรม "สนธิรัตน์" มอบกรมการค้าภายในวิเคราะห์ราคาดีเซลที่กระทบต่อต้นทุนสินค้าทันที เผยยังได้นัดถกหน่วยงานพาณิชย์วางแผนดูแลสินค้าเกษตรตั้งแต่ภายในจนถึงส่งออก และนัดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เร่งดันเศรษฐกิจฐานราก
 
- แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า จะมีการหารือเรื่องการปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สำโรง) ร่วมกับเอกชนผู้เดินรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยจะยื่นข้อเสนอการขยายระยะเวลาสัมปทานออกไปอีก เช่น 5-10 ปี จากที่จะหมดอายุในปี 2585 และมีเงื่อนไขให้ กทม.สามารถบอกเลิกสัญญาได้ตั้งแต่ปี 2572 เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการกำหนดโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย 65 บาท จากปัจจุบันสูงสุดที่ 59 บาท และราคาในอนาคตที่ 140-145 บาท ขณะที่ได้สั่งเบรกลงทุนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเหนือ-ใต้ 2 หมื่นล้านบาท หวั่นไม่คุ้มค่า
 
- รมว.คลังเอเปก ประเมินเศรษฐกิจโลกเริ่มผันผวนหนัก ปัจจัยลบรุมเร้า แต่ยังมั่นใจเศรษฐกิจชาติเอเปกโตได้ 3.7-4.1%
*หุ้นเด่นวันนี้
- TIGER (บมจ.ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเสนอขาย IPO ที่ 3.65 บาท/หุ้น ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินราคาเหมาะสมปี 2562 ได้ที่ 5.40 บาท (อิง PER 17.6x) โดยคาดกำไรสุทธิใน H2/61 ที่ 58 ล้านบาท เติบโต 38% YoY และ 85% HoH จากรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) เหลืออยู่ราว 655 ล้านบาท ส่วนปี 2562 คาดจะมีกำไรสุทธิที่ 142 ล้านบาท เติบโต 59% YoY จากคาดการณ์ว่า TEC จะเข้าร่วมการประมูลงานเพิ่มเติม
 
บริษัทฯประกอบธุรกิจ Holding company มีบริษัทในกลุ่ม 3 บริษัท ได้แก่ 1) TEC ให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภท 2) TEA ทำธุรกิจออกแบบและผลิตกระจกและอลูมิเนียม และ 3) TEM ทำธุรกิจออกแบบและผลิตระบบน้ำดีและน้ำเสีย รวมทั้งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ โดยสัดส่วนรายได้หลักของ TIGER มาจากงานรับเหมาก่อสร้าง (TEC) กว่า 94% ซึ่งแบ่งเป็นงานภาครัฐ 43% และภาคเอกชน 57% โดยช่วงปี 2558–2560 มีกำไรปกติเติบโตเฉลี่ย 39% ต่อปี จากโครงการก่อสร้างที่มากขึ้นเรื่อยๆ
 
- ROBINS (กรุงศรี) "ซื้อ" เป้า 76 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/61 ประมาณ 689 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13%yoy จาก SSSG ที่กลับมาเป็นบวก 0.5% เทียบกับที่หดตัว 0.1% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ระยะกลางได้ Sentiment บวกจากการเลือกตั้งหนุนยอดขายโตต่อเนื่อง
 
- CHG(ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 3.00 บาท คาดกำไรปกติ Q3/61 ที่ 195 ล้านบาท +10.2% Q-Q, +15.8% Y-Y จากรายได้ที่โตโดดเด่นในกลุ่มผู้ป่วยเงินสด และไม่มีการกลับรายการรายได้เหมือนที่เกิดขึ้นใน Q2/61 ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังควบคุมได้ดีแม้จะมีเปิดจุฬารัตน์ 304 แนวโน้ม Q4/61 ยังโต Y-Y ต่อเนื่องจากฐานต่ำ คาดกำไรทั้งปีที่ 722 ล้านบาท +28% Y-Y และปีหน้า 788 ล้านบาท  +9% Y-Y ด้านราคาหุ้นที่พักตัวถือเป็นโอกาสซื้อลงทุน และเหมาะที่จะใช้เป็นที่พักเงินช่วง SET ผันผวนในระยะสั้น
 
- STEC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 29 บาท คาดกำไร Q3/61 จะโดดเด่นและโตสูง 325 ล้านบาท โตจากไตรมาสก่อน 7%QoQ และ ปีก่อน 50%YoY  แรงหนุนการรับรู้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และชมพู  STEC มี Backlog ที่สูง 1.2 แสนล้านบาท จะหนุนกำไร Q4/61 และ ปี 2562 เติบโตในอัตราที่เร่งมากขึ้น รัฐบาลมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่องจะหนุน STEC ยังได้งานเพิ่ม  ด้านเทคนิคยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ต้าน 25.5 รับ 24.0 บาท
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนวิตกเศรษฐกิจจีนชะลอตัว
 
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน หลังจากที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนความพยายามออกมาเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับคืนมาก็ตาม
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,167.76 จุด เพิ่มขึ้น 156.98 จุด, +0.71% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,579.97 จุด ลดลง 14.86 จุด, -0.57% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,401.17 จุด เพิ่มขึ้น 54.62 จุด, +0.22% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,774.29 จุด ลดลง 0.91 จุด, -0.01% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,119.19 จุด เพิ่มขึ้น 13.09 จุด, +0.62% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,044.33 จุด เพิ่มขึ้น 12.94 จุด, +0.43% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,697.10 จุด ลดลง 0.50 จุด, -0.03% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,185.83 จุด ลดลง 11.79 จุด, -0.16%
 
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของจีน ขยายตัว 6.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัว 6.7% ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่า เศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการจากจีนในอัตราที่สูงขึ้น
 
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับคืนมา โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ได้ออกมาให้คำมั่นว่ารัฐบาลจีนจะให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างจริงจัง ขณะที่นายหม่า จุน ที่ปรึกษาด้านนโยบายของธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า จีนอาจลดภาษีในสัดส่วนที่เท่ากับหรือมากกว่า 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีหน้า
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 87.59 จุด เหตุเงินปอนด์แข็งฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติ
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง นอกจากนี้ การดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลกยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นลอนดอนเช่นกัน
 
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,955.21 จุด ลดลง 87.59 จุด หรือ -1.24%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
 
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีตลาดหุ้นจีนดิ่งลงกว่า 2% เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงกว่า 120 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และจากการร่วงลงของราคาหุ้นพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4%
 
หุ้นโอคาโด กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ร่วงลง 9.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพ ขณะที่หุ้นจีวีซี ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจด้านอุปกรณ์กีฬา ดิ่งลง 7.1% และหุ้นเซนต์ เจมส์ เพลส บริษัทข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ร่วงลง 5.25%
 
อย่างไรก็ตาม หุ้นเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเฟรนนิลโล พุ่งขึ้น 9.11% และหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ปรับตัวขึ้น 3.8%
นักลงทุนยังคงจับตาการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมทั้งเสถียรภาพทางการเมืองในอังกฤษ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษได้พากันโจมตีนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป ทำให้มีการคาดการณ์ว่านางเมย์อาจหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วงหลัง EU คว่ำร่างงบประมาณอิตาลี,วิตกตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งหนัก
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและงบประมาณของอิตาลี หลังจากสหภาพยุโรป (EU) ได้ปฏิเสธการยอมรับร่างงบประมาณประจำปีหน้าของอิตาลี พร้อมกับแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของอิตาลี นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกยังสร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเช่นกัน
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.6% ปิดที่ 354.06 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,274.28 จุด ลดลง 250.06 จุด หรือ -2.17% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,967.69 จุด ลดลง 85.62 จุด หรือ -1.69%  ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,955.21 จุด ลดลง 87.59 จุด หรือ -1.24%
 
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและงบประมาณของอิตาลี หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่า อิตาลีจะต้องทำการทบทวนข้อเสนอร่างงบประมาณประจำปีหน้า โดยนายไดอาลอก วัลดิส ดอมโบรสกีส์ รองประธาน EC กล่าวว่า EC ไม่มีทางเลือก นอกจากปฏิเสธข้อเสนองบประมาณของรัฐบาลอิตาลี และอิตาลีมีเวลา 3 สัปดาห์ในการยื่นข้อเสนองบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ EC ได้ปฏิเสธการยอมรับร่างงบประมาณของประเทศสมาชิก EU
 
รัฐบาลอิตาลีได้เพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีหน้า ขณะที่รัฐบาลชุดเดิมของอิตาลียืนยันว่าจะรักษาตัวเลขขาดดุลที่ 0.8% ของ GDP และ EU มองว่าร่างงบประมาณปี 2562 ของอิตาลีขัดต่อกฎหมายทางการเงินของ EU
 
ทั้งนี้ EU กำหนดให้ประเทศใน EU มีตัวเลขขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 3% ของ GDP อย่างไรก็ดี EU เรียกร้องให้อิตาลีดำเนินการไปสู่การมีงบประมาณสมดุล เนื่องจากอิตาลีมีหนี้ในภาครัฐจำนวนมาก
 
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีตลาดหุ้นจีนดิ่งลงกว่า 2% เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน แม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้พยายามกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลังจากที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
 
ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงกว่า 120 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และจากการร่วงลงของราคาหุ้นพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4%
 
หุ้นไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทยาและเคมีภัณฑ์ของเยอรมนี ร่วงลง 9.5% หลังจากผู้พิพากษาศาลในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้สนับสนุนคำตัดสินของคณะลูกขุนที่มีคำสั่งให้บริษัทมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไบเออร์ จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งจำนวน 200 ล้านดอลลาร์ โดยคณะลูกขุนมีความเห็นว่า มอนซานโตมีความผิด กรณีที่ไม่ได้แจ้งผู้ป่วยรายนี้ รวมทั้งผู้บริโภครายอื่นๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งจากการใช้ผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า "ราวน์อัพ" ซึ่งมีสารไกลโฟเสท
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 125.98 จุด วิตกผลประกอบการ,ราคาน้ำมันร่วง,ตลาดหุ้นจีนดิ่ง
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัท แคทเธอร์พิลลาร์ และ 3M นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบและตลาดหุ้นจีน รวมทั้งความกังวลจากรายงานที่ว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ปฏิเสธร่างงบประมาณประจำปีหน้าของอิตาลี
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,191.43 จุด ร่วงลง 125.98 จุด หรือ -0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,740.69 จุด ลดลง 15.19 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,437.54 จุด ลดลง 31.09 จุด หรือ -0.42%
 
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ร่วงลง 7.6% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท โดยแม้ว่าแคทเธอร์พิลลาร์ระบุว่า บริษัทมีกำไร 2.86 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.85 ดอลลาร์/หุ้น แต่ทางบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำไร 11.00-12.00 ดอลลาร์/หุ้นในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 11.65 ดอลลาร์/หุ้น
 
หุ้น 3M ดิ่งลง 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในตลาด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับลดแนวโน้มกำไรประจำปีนี้
 
หุ้นฮาร์ลีย์-เดวิดสัน อิงค์ ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.2% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 68 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53 เซนต์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 1.32 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.07 พันล้านดอลลาร์
 
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.6% และหุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์ยี ร่วงลง 1.7% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 2.3% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.3% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.2%
 
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นจีนที่ดิ่งลงกว่า 2% เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน แม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้พยายามกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลังจากที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
 
หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อคืนนี้ นำโดยหุ้นนิว โอเรียนทัล และหุ้นทีเอแอล เอดดูเคชัน กรุ๊ป ร่วงลง 16.06% และ 5.13% ตามลำดับ
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในอิตาลี หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่า อิตาลีจะต้องทำการทบทวนข้อเสนอร่างงบประมาณประจำปีหน้า โดยนายไดอาลอก วัลดิส ดอมโบรสกีส์ รองประธาน EC กล่าวว่า EC ไม่มีทางเลือก นอกจากปฏิเสธข้อเสนองบประมาณของรัฐบาลอิตาลี และอิตาลีมีเวลา 3 สัปดาห์ในการยื่นข้อเสนองบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ EC ได้ปฏิเสธการยอมรับร่างงบประมาณของประเทศสมาชิก EU
 
ทั้งนี้ รัฐบาลอิตาลีได้เพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีหน้า ขณะที่รัฐบาลชุดเดิมของอิตาลียืนยันว่าจะรักษาตัวเลขขาดดุลที่ 0.8% ของ GDP และ EU มองว่าร่างงบประมาณปี 2562 ของอิตาลีขัดต่อกฎหมายทางการเงินของ EU
 
อย่างไรก็ตาม หุ้นแมคโดนัลด์ ดีดตัวขึ้น 6.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 3 ที่ระดับ 5.37 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 5.32 พันล้านดอลลาร์ และกำไรอยู่ที่ระดับ 2.10 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 1.99 ดอลลาร์/หุ้น
 
ส่วนหุ้นเวอไรซอน คอมมูนิเคชันส์ พุ่งขึ้น 4.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้และกำไรในไตรมาส 3 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท
 
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
--อินโฟเควสท์
OO15322

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!