WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

18ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่ง Sideway Down เหตุ Bond Yield สหรัฐฯพุ่งกดดันกระแสเงินทุนไหลออก-Sentiment ในปท.ไม่ดี
 
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำ New High ในรอบ 7 ปี แตะระดับ 3.2% สร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินทุนต่างประเทศให้ไหลออก โดยเฉพาะ Emerging Market ซึ่งการที่ Bond Yield สูงขึ้นทำให้คนกลัวสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว อีกทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็มีการขยายตัวดีด้วย
 
นอกจากนี้ Sentiment ในประเทศก็ไม่ค่อยดี หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับปรุงดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และดัชนีคววามเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยงวดเดือนก.ย.ก็ปรับตัวลงด้วย
 
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนนลบเป็นส่วนใหญ่ พร้อมให้แนวรับ 1,720-1,710 จุด ส่วนแนวต้าน 1,735-1,740 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,627.48 จุด ร่วงลง 200.91 จุด (-0.75%) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,879.51 จุด ลดลง 145.57 จุด (-1.81%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,901.61 จุด ลดลง 23.90 จุด (-0.82%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 193.86 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 120.12 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 53.62 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 4.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.24 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.59 จุด
 
ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ต.ค.61) 1,729.40 จุด ลดลง 12.56 จุด (-0.72%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 4,951.73 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 ต.ค.61) ปิดที่ 74.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.08 ดอลลาร์ หรือ 2.72%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ต.ค.61) ที่ 4.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.72 แนวโน้มอ่อนค่า จับตาเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างวัน-ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯคืนนี้
- แบงก์ชาติวาง 3 แนวทางเข้มสินเชื่อบ้าน เน้นคุมบ้านหลังที่สอง-บ้านหรูเกิน 10 ล้านบาท ต้องวางดาวน์ 20% ขณะบ้านหลังแรกสั่งคุมแอลทีวีรวม ท็อปอัพไม่เกิน 100% แจงเหตุสั่งคุมเพราะมาตรฐานสินเชื่อหย่อนยานทุกมิติ อสังหาฯ โอดคุมเข้มสินเชื่อป่วนตลาด โดยเฉพาะ "คอนโด"โอนหลัง 1 ม.ค.62 "คอลลิเออร์ส" ระบุครึ่งปีแรกคอนโดอยู่ระหว่างการขายกว่า 1.7 แสนยูนิต บ้านจัดสรรกว่า 5.9 หมื่นยูนิต
 
- "เวิลด์แบงก์" ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยเพิ่มเป็น 4.5% หลัง"ส่งออก-ลงทุน"ขยายตัวดี พร้อมชมนโยบายปฎิรูปเศรษฐกิจมาถูกทาง เชื่อดันไทยหลุดพ้นประเทศรายได้ปานกลาง-สูง ได้ภายใน 20 ปี ส่วนเศรษฐกิจปีหน้าโตชะลอ เหลือ 3.9% จากความผันผวนด้านการส่งออก
 
- กพอ.อนุมัติประมูล 4 โครงการใหญ่อีอีซี 4.3 แสนล้านบาท ทั้งสนามบิน-ท่าเรือ เร่งออกทีโออาร์- หนังสือชี้ชวนเดือนต.ค.นี้  "คณิศ"โชว์ตัวเลขรัฐลงทุนน้อย แต่ได้ผลตอบแทนรวม 8.1 แสนล้านบาท สร้างงาน 4 หมื่นตำแหน่ง ต่อปี "บินไทย"มั่นใจเอ็มอาร์โอสร้างรายได้ ระยะยาว ปตท.ชี้ยังสนใจไฮสปีด
 
- นักท่องเที่ยวจีนลด ราคาน้ำมันพุ่ง ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย. ปรับตัวลดครั้งแรกรอบ 4 เดือน
- 3 สมาคมลุ้นพรรคการเมืองรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มั่นใจหลังการเมืองปลดล็อกดึงเรียลดีมานด์คึกคัก เผยไตรมาส 3 ยอดเปิดคอนโดสูงสุดกว่า 2.4 หมื่นยูนิต คาดช่วงที่เหลือเปิดอีกไม่น้อยกว่าหมื่นยูนิต
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- HANA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 45 บาท แนวโน้มกำไรสุทธิ Q3/61 จะเติบโตดี Q-Q เบื้องต้นคาดราว 600-650 ล้านบาท แต่ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 770 ล้านบาท เพราะบาทเงินบาทแข็ง แต่การฟื้นตัว Q-Q มาจากทั้ง High Season และคำสั่งซื้อที่แกร่งมาก เพิ่งได้รับคำสั่งซื้อใน Smartphone แบรนด์จีน ในขณะที่ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มนิ่งแล้ว พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2561 จะลดลง 28% Y-Y เพราะฐานสูงปีก่อน แต่จะกลับมาโตในปี 2562 ราว 15.2% Y-Y  และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.4%
 
- BLA (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 42 บาท คาดได้ผลบวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ที่สูงขึ้น เนื่องจากพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจประกันจะอยู่ในพันธบัตร หาก Bond yield สูงขึ้นจะทำให้กำไรจากพอร์ตลงทุนสูงขึ้นตามไปด้วย
 
- SUN (เออีซี) "ซื้อ"เป้า Consensus 4.4 บาท แม้ปี 61 Bloomberg Consensus คาดกำไรหด 30.6%YoY แต่ปี 62 คาดกำไรจะพลิกกลับมาโต 58.9%YoY จากอานิสงส์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อการส่งออกภายใต้แบรนด์ KC เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 รายการ ได้แก่ สับปะรดถุงพร้อมทานและข้าวโพดบาร์บีคิวนอกจากนี้ยังมีแผนปรับพอร์ตการจำหน่ายสินค้าใหม่เป็นสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวโพดกระป๋องอยู่ที่ 60%, ข้าวโพดแช่แข็ง 25% และข้าวโพดถุงพร้อมทาน 15% ตามลำดับ บวกกลับมี Upside 27.2%
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังดาวโจนส์ร่วงกว่า 200 จุด
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืน โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดในรอบ 7 ปี หลังจากประธานธนาคารสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,781.76 จุด ลดลง 193.86 จุด, -0.81% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,503.75 จุด ลดลง 120.12 จุด, -0.45% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,665.29 จุด ลดลง 53.62 จุด, -0.50% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,269.94 จุด ลดลง 4.55 จุด, -0.20% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,224.35 จุด ลดลง 7.24 จุด, -0.22% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,787.52 จุด ลดลง 2.59 จุด, -0.14% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการเนื่องในวันชาติ
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 3.232% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 3.375% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
 
การพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดมีส่วนผลักดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 207,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2512 และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1%
 
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาตัวเลขเฉลี่ยค่าจ้างรายชั่วโมงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้เงินเฟ้อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดร่วง 91.94 จุด เหตุวิตกบอนด์ยีลด์พุ่ง ตลาดจับตาเจรจา Brexit
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาข้อตกลงระหว่างอังกฤษ และสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
 
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,418.34 จุด ลดลง 91.94 จุด หรือ -1.22%
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น อันเนื่องมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรปดีดตัวขึ้นด้วย
 
หุ้นโอคาโด กรุ๊ป ซึ่งเป็นธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ดิ่งลง 7.7% หุ้นสเมิร์ฟ คัปปา ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ ร่วงลง 6.5% หุ้นดีเอส สมิธ ซึ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์เช่นกัน ร่วงลง 6.2%
 
นักลงทุนติดตามการเจรจา Brexit อย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดนายบอริส จอห์นสัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ ได้ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ยกเลิกแผนเช็กเกอร์ส (Chequers plan) สำหรับการทำข้อตกลงการค้าในอนาคตกับ EU
 
ทั้งนี้ แผนเช็กเกอร์ส คือแผนการนำสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปที่เสนอโดยนางเทเรซา เมย์ และผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นกรอบให้สหราชอาณาจักรใช้เจรจาต่อรองกับ EU อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ไม่เป็นที่พอใจของหลายฝ่าย แม้แต่ในพรรครัฐบาลด้วยกันเอง
 
ทางด้านนายรอส แมคอีแวน ประธานบริหารของโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) เปิดเผยว่า หากอังกฤษถอนตัวจาก EU แบบไร้ข้อตกลง อาจจะทำให้เศรษฐกิจของอังกฤษเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ หลังบอนด์ยีลด์พุ่ง
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ระดับ 379.68 จุด
 
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,410.85 จุด ลดลง 80.55 จุด หรือ -1.47% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,418.34 จุด ลดลง 91.94 จุด หรือ -1.22% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,244.14 จุด ลดลง 43.44 จุด หรือ -0.35%
 
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น อันเนื่องมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
 
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.178% หลังจากแตะระดับ 3.232% ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.341% หลังจากแตะระดับ 3.375% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
 
หุ้นวาเลโร ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ยานยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศส ร่งลง 6.56% ขณะที่หุ้น LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูหรา ดิ่งลง 4.9%
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นเครดิต อากริโคล เพิ่มขึ้น 2.2% และหุ้นดอยซ์แบงก์ เพิ่มขึ้น 1.5%
 
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาตัวเลขเฉลี่ยค่าจ้างรายชั่วโมงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้เงินเฟ้อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 200.91 จุดหลังบอนด์ยีลด์พุ่ง ขณะหุ้นเทคโนฯดิ่งฉุด Nasdaq ร่วงตาม
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดในรอบ 7 ปี หลังจากประธานธนาคารสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นบริษัทในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล)
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,627.48 จุด ร่วงลง 200.91 จุด หรือ -0.75% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,879.51 จุด ลดลง 145.57 จุด หรือ -1.81% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,901.61 จุด ลดลง 23.90 จุด หรือ -0.82%
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.178% หลังจากแตะระดับ 3.232% ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.341% หลังจากแตะระดับ 3.375% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
 
การพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดมีส่วนผลักดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 207,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2512 และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐพุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1%
 
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมากกว่า 1.8% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.76% หุ้นอเมซอน ดิ่งลง 2.22% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.8% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.6% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 2.07% หุ้นฟิตบิท ดิ่งลง 2.72% หุ้น Nvidia ร่วงลง 2.6% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ลดลง 2.2% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ลดลง 0.9% และหุ้นอินเทล ปรับตัวลง 1.3%
 
ทั้งนี้ การร่วงลงของหุ้นแอปเปิลและหุ้นอเมซอนมีสาเหตุมาจากรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ว่า รัฐบาลจีนได้ลักลอบฝังไมโครชิปในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของบริษัท เพื่อล้วงข้อมูลลับทางการค้า ขณะที่แอปเปิล และอเมซอน ต่างก็ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวดังกล่าว
 
หุ้นกลุ่มพลังงานปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ จากรายงานข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตน้ำมันที่ลดลงจากอิหร่าน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.7% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.3% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ลดลง 0.3% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.25% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 2.8% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ลดลง 0.4%
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลงหลังจากพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายวันก่อนหน้านี้ โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ลดลง 0.95% หุ้นโบอิ้ง ปรับตัวลง 0.64% หุ้น 3M ร่วงลง 0.91% และหุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ลดลง 0.46%
 
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 0.34% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 0.2% และหุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.4%
 
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาตัวเลขเฉลี่ยค่าจ้างรายชั่วโมงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้เงินเฟ้อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
 
--อินโฟเควสท์ 
OO14658

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!